วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556
ประเทศไทยกับอาเซียน
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2510 มีพัฒนาการมาเป็นลำดับและไทยก็มีบทบาทสำ คัญในการผลักดันความร่วมมือของอาเซียนให้มีความคืบหน้ามาโดยตลอด ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้น มีบทบาทสำคัญในการเดินทางไปเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างมลายาและฟิลิปปินส์ เรื่องการอ้างกรรมสิทธิเหนือดินแดนซาบาห์และซาราวัก รวมทั้งการที่สิงคโปร์แยกตัวออกมาจากมลายา และได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก 4 ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซียฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ มาหารือร่วมกันที่แหลมแท่น จังหวัดชลบุรีอันนำมาสู่การลงนามในปฏิญญากรุงเทพ เพื่อก่อตั้งอาเซียน ที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ไทยจึงถือเป็นทั้งประเทศ ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็น “บ้านเกิด” ของอาเซียน
ต่อมาอาเซียนได้ขยายสมาชิกภาพขึ้นมาเป็นลำดับ โดยบรูไนดารุสซาลาม เข้าเป็นสมาชิกเป็นประเทศที่ 6 ในปี 2527 และภายหลังเมื่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เหลืออีก 4 ประเทศ คือ เวียดนาม ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา ทยอยกันเข้าเป็นสมาชิกจนครบ 10 ประเทศ เมื่อปี 2542 นับเป็นก้าวสำคัญที่ไทยได้มีบทบาทเชื่อมโยงประเทศที่ตั้งอยู่บนภาคพื้นทวีปและประเทศที่เป็นหมู่เกาะทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยมีไทยเป็นจุดศูนย์กลาง ถึงแม้ว่าปฏิญญากรุงเทพ จะมิได้ระบุถึงความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง โดยกล่าวถึงเพียงความร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา การเกษตร อุตสาหกรรม การส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค แต่อาเซียนได้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาค ลดความหวาดระแวงและช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและที่สำคัญไทยได้เป็นแกนนำร่วมกับอินโดนีเซียและประเทศสมาชิก อาเซียนดัง้ เดิมในการแก้ไขปัญหากัมพชู า รวมทัง้ ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยอินโดจีนจนประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และช่วยเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อไทยที่เป็นประเทศด่านหน้า
นอกจากนี้ ประเทศไทย โดยอดีตนายกรัฐมนตรีนายอานันท์ปันยารชุน มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้มีความคืบหน้า โดยการริเริ่มให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ขึ้นเมื่อปี 2535 โดยอาเซียนตกลงที่จะลดภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือร้อยละ 0-5 ในเวลา 15 ปี ซึ่งต่อมาได้ลดเวลาลงเหลือ 10 ปี โดยประเทศสมาชิกเก่า 6 ประเทศ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2546 ในขณะที่ประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ดำเนินการเสร็จสิ้นในปี 2551
ต่อมาที่ประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลี เมื่อปี 2546 ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะสร้างประชาคมอาเซียน โดยมีการจัดทำแผนงานด้านต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว นำมาสู่การจัดทำ กฎบัตรอาเซียน เพื่อวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรของอาเซียน ทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีกฎกติกาในการทำงาน
มีประสิทธิภาพ และเป็นองค์กรเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กฎบัตรอาเซียน ได้เริ่มมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไทยได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน และที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ได้รับรองปฏิญญาชะอำ - หัวหินว่าด้วยแผนงานสำหรับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในทั้ง 3 เสาหลัก คือประชาคมการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจและประชาคมสังคมและวัฒนธรรม เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของการจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558
ที่มา : ประเทศไทยกับอาเซียน.สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ.กรมประชาสัมพันธ์.เมษายน,2555
ประชาคมอาเซียน (ASEAN)
กำเนิดอาเซียนและวัตถุประสงค์
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (Association of South East Asian Nations : ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) ลงนามโดย รัฐมนตรีจาก 5 ประเทศ ได้แก่ นายอาดัม มาลิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย,
ตุน อับดุล ราซักบิน ฮุสเซน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ประเทศมาเลเซีย, นายนาซิโซ รามอส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์, นายเอส ราชารัตนัม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และพันเอก (พิเศษ) ดร.ถนัดคอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงปลอดภัยทางการเมือง สร้างสรรค์ความ
เจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมการกินดีอย่ดี บนพืน้ ฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ ร่วมกนัจากเจตจำนงที่สอดคล้องกันนี้นำไปสู่การขยายสมาชิกภาพ โดยบรูไนดารุสซาลาม ได้เข้าเป็นสมาชิกในลำดับที่ 6 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2527 สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 7 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เข้าเป็นสมาชิกพร้อมกัน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 และราชอาณาจักรกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิก ลำดับที่ 10 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2542 ทำให้ปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ
ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการ ของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่
(1) ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
(2) ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
(3) เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ พัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
(4) ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
(5) ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(6) เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
(7)เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอกองค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่น ๆ และองค์การระหว่างประเทศ
นโยบายการดำเนินงานของอาเซียนจะเป็นผลจากการประชุมหารือในระดับหัวหน้ารัฐบาล ระดับรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ทั้งนี้การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) หรือ การประชุมของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นการประชุมระดับสูงสุดเพื่อกำหนดแนวนโยบายในภาพรวมและเป็นโอกาสที่ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันประกาศเป้าหมายและแผนงานของอาเซียนในระยะยาวซึ่งจะปรากฏเป็นเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) แถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration) ปฏิญญา (Declaration) ความตกลง (Agreement) หรืออนุสัญญา (Convention) ส่วนการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสจะเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาทั้งนโยบายในภาพรวมและนโยบายเฉพาะด้าน
อาเซียนได้ลงนามร่วมกันในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่ 2 (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) เพื่อประกาศจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020 โดยสนับสนุนการรวมตัวและความร่วมมืออย่างรอบด้าน ในด้านการเมือง ให้จัดตั้ง “ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน” หรือ ASEANPolitical-Security Community (APSC) ด้านเศรษฐกิจ ให้จัดตั้ง “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ ASEAN Economic Community (AEC) และด้านสังคมและวัฒนธรรมให้จัดตั้ง “ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน” หรือ ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) ซึ่งต่อมาผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้เร่งรัดการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีก 5 ปี คือภายในปี 2558 หรือ ค.ศ. 2015 โดยได้เล็งเห็นว่าสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาเซียนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถคงบทบาทนำในการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาคและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
สัญลักษณ์และธงของอาเซียน


สัญลักษณ์ของอาเซียนเป็นรวงข้าวสีเหลือง 10 มัด หมายถึงการที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ รวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อยู่ในพื้นที่วงกลม สีแดง สีขาว และน้ำเงิน ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกภาพ มีตัวอักษรคำว่า “asean” สีน้ำเงิน อยู่ใต้ภาพรวงข้าวอันแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน สีทั้งหมดที่ปรากฏในสัญลักษณ์ของอาเซียนเป็นสีสำคัญที่ปรากฏในธงชาติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน
สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ และ
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
เพลงประจำอาเซียน (ASEAN Anthem)
การจัดทำเพลงประจำอาเซียน เป็นการดำเนินการตามข้อ 40 ของกฎบัตรอาเซียนที่กำหนดให้อาเซียน “มีเพลงประจำอาเซียน” ในปี 2551 ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกอาเซียน ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเพลงประจำอาเซียน ซึ่งได้จัดเป็นการแข่งขันแบบเปิดให้ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนที่สนใจส่งเพลงของตนเองเข้าประกวด (open competition) โดยมีหลักเกณฑ์ 5 ประการ ได้แก่
1. มีเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ
2. มีลักษณะเป็นเพลงชาติประเทศสมาชิกอาเซียน
3. มีความยาวไม่เกิน 1 นาที
4. เนื้อร้องสะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนและความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
5. เป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกเพลง ASEAN Way ของไทยที่แต่งโดย นายกิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนองและเรียบเรียง) นายสำเภา ไตรอุดม (ทำนอง) และ นางพะยอม วลัยพัชรา (เนื้อร้อง) ให้เป็นเพลงประจำอาเซียน และได้ใช้บรรเลงอย่างเป็นทางการในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552
กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter)
ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 เมื่อปี 2550 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญของอาเซียนที่จะวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนในการดำ เนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้ โดยวัตถุประสงค์ของกฎบัตรคือ ทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและเคารพกฎกติกาในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ กฎบัตรอาเซียนจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลแก่อาเซียนในฐานะที่เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล(Intergovernmental Organization)จุดเด่นประการหนึ่งของกฎบัตรอาเซียน คือ การที่ข้อบทต่าง ๆถูกกำ หนดขึ้นเพื่อให้อาเซียนเป็นองค์กรที่ประชาชนเข้าถึงและเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศสมาชิกมากยิ่งขึ้น กฎบัตรอาเซียนประกอบด้วยบทบัญญัติ 13 บท รวม 55 ข้อย่อย
ที่มา : ประเทศไทยกับอาเซียน.สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ.กรมประชาสัมพันธ์.เมษายน,2555
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (Association of South East Asian Nations : ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) ลงนามโดย รัฐมนตรีจาก 5 ประเทศ ได้แก่ นายอาดัม มาลิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย,
ตุน อับดุล ราซักบิน ฮุสเซน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ประเทศมาเลเซีย, นายนาซิโซ รามอส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์, นายเอส ราชารัตนัม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และพันเอก (พิเศษ) ดร.ถนัดคอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงปลอดภัยทางการเมือง สร้างสรรค์ความ
เจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมการกินดีอย่ดี บนพืน้ ฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ ร่วมกนัจากเจตจำนงที่สอดคล้องกันนี้นำไปสู่การขยายสมาชิกภาพ โดยบรูไนดารุสซาลาม ได้เข้าเป็นสมาชิกในลำดับที่ 6 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2527 สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 7 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เข้าเป็นสมาชิกพร้อมกัน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 และราชอาณาจักรกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิก ลำดับที่ 10 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2542 ทำให้ปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ
ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการ ของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่
(1) ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
(2) ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
(3) เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ พัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
(4) ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
(5) ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(6) เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
(7)เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอกองค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่น ๆ และองค์การระหว่างประเทศ
นโยบายการดำเนินงานของอาเซียนจะเป็นผลจากการประชุมหารือในระดับหัวหน้ารัฐบาล ระดับรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ทั้งนี้การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) หรือ การประชุมของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นการประชุมระดับสูงสุดเพื่อกำหนดแนวนโยบายในภาพรวมและเป็นโอกาสที่ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันประกาศเป้าหมายและแผนงานของอาเซียนในระยะยาวซึ่งจะปรากฏเป็นเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) แถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration) ปฏิญญา (Declaration) ความตกลง (Agreement) หรืออนุสัญญา (Convention) ส่วนการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสจะเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาทั้งนโยบายในภาพรวมและนโยบายเฉพาะด้าน
อาเซียนได้ลงนามร่วมกันในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่ 2 (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) เพื่อประกาศจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020 โดยสนับสนุนการรวมตัวและความร่วมมืออย่างรอบด้าน ในด้านการเมือง ให้จัดตั้ง “ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน” หรือ ASEANPolitical-Security Community (APSC) ด้านเศรษฐกิจ ให้จัดตั้ง “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ ASEAN Economic Community (AEC) และด้านสังคมและวัฒนธรรมให้จัดตั้ง “ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน” หรือ ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) ซึ่งต่อมาผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้เร่งรัดการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีก 5 ปี คือภายในปี 2558 หรือ ค.ศ. 2015 โดยได้เล็งเห็นว่าสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาเซียนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถคงบทบาทนำในการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาคและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
สัญลักษณ์และธงของอาเซียน


สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ และ
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
เพลงประจำอาเซียน (ASEAN Anthem)
การจัดทำเพลงประจำอาเซียน เป็นการดำเนินการตามข้อ 40 ของกฎบัตรอาเซียนที่กำหนดให้อาเซียน “มีเพลงประจำอาเซียน” ในปี 2551 ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกอาเซียน ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเพลงประจำอาเซียน ซึ่งได้จัดเป็นการแข่งขันแบบเปิดให้ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนที่สนใจส่งเพลงของตนเองเข้าประกวด (open competition) โดยมีหลักเกณฑ์ 5 ประการ ได้แก่
1. มีเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ
2. มีลักษณะเป็นเพลงชาติประเทศสมาชิกอาเซียน
3. มีความยาวไม่เกิน 1 นาที
4. เนื้อร้องสะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนและความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
5. เป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกเพลง ASEAN Way ของไทยที่แต่งโดย นายกิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนองและเรียบเรียง) นายสำเภา ไตรอุดม (ทำนอง) และ นางพะยอม วลัยพัชรา (เนื้อร้อง) ให้เป็นเพลงประจำอาเซียน และได้ใช้บรรเลงอย่างเป็นทางการในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552
THE ASEAN WAY
ขอบคุณ คลิปจากWiraphan Chotsaeng
กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter)
ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 เมื่อปี 2550 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญของอาเซียนที่จะวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนในการดำ เนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้ โดยวัตถุประสงค์ของกฎบัตรคือ ทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและเคารพกฎกติกาในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ กฎบัตรอาเซียนจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลแก่อาเซียนในฐานะที่เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล(Intergovernmental Organization)จุดเด่นประการหนึ่งของกฎบัตรอาเซียน คือ การที่ข้อบทต่าง ๆถูกกำ หนดขึ้นเพื่อให้อาเซียนเป็นองค์กรที่ประชาชนเข้าถึงและเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศสมาชิกมากยิ่งขึ้น กฎบัตรอาเซียนประกอบด้วยบทบัญญัติ 13 บท รวม 55 ข้อย่อย
ที่มา : ประเทศไทยกับอาเซียน.สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ.กรมประชาสัมพันธ์.เมษายน,2555
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556
สงครามครูเสด
สงครามครูเสดเป็นสงครามระหว่างพวกคริสเตียนในยุโรปกับพวกมุสลิมที่ยึดครองนครเยรูซาเล็มในปาเลสไตน์
ซึ่งเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์
พวกคริสเตียนยกทัพไปโจมตีดินแดนของพวกมุสลิม โดยอ้างว่าเพื่อปลดปล่อยนครเยรูซาเลม
สงครามครูเสดดำเนินอยู่ในช่วงเวลาเกือบ 200 ปี
และก่อให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการของยุโรปทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
สาเหตุของสงครามครูเสด
ชาวยุโรปยกทัพไปทำสงครามครูเสดรวม 6 ครั้ง
เหตุผลโดยรวมของการทำสงครามคือปลดปล่อยนครเยรูซาเลมอันศักดิ์สิทธิ์จากการควบคุมของพวกมุสลิม
แต่เมื่อวิเคราะห์จากเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว
พบว่าการสนับสนุนสงครามครูเสดของชาวยุโรปเกิดจากสาเหตุสำคัญ คือ
ความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ เหตุผลทางการเมือง และการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์
เป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้ชาวยุโรปเดินทางไปทำสงครามครูเสด
เนื่องจากคริสต์ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์จากยุโรปที่เดินทางไปแสวงบุญยังนครเยรูซาเลมถูกพวกเติร์กที่ยึดครองปาเลสไตน์อยู่ขัดขวางและบางคนถูกสังหาร
สำนักวาติกันซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดของศาสนาคริสต์ได้เรียกร้องให้พวกคริสเตียนไปร่วมรบเพื่อชิงนครเยรูซาเลมจากพวกมุสลิม
นักรบที่ร่วมในสงครามจะเย็บเครื่องหมายกางเขนที่ทำด้วยผ้าติดไว้บนเสื้อผ้าของตน
จึงถูกเรียกว่า “crusader” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ที่ติดเครื่องหมายกางเขน” และเป็นที่มาของชื่อสงครามครูเสด
ใน ค.ศ. 1095 สันตะปาปาเออร์แบบที่ 2
(Urban II) เรียกประชุมผู้นำทางศาสนาและขุนนางที่มีอำนาจในเขตต่างๆ
ของฝรั่งเศสเพื่อให้ยุติการสู้รบแย่งชิงอำนาจกัน และช่วยกันปกป้องศาสนาคริสต์
ในปีถัดมาสันตะปาปาทรงนำทัพในสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ผู้เข้าร่วมสงครามซึ่งมีจำนวนมากมาจากดินแดนต่างๆ
ทั่วยุโรป เพราะเชื่อว่าการไปรบเพื่อศาสนาจะเป็นการไถ่บาปที่ยิ่งใหญ่
ผู้ที่เสียชีวิตในสงครามครูเสดจะได้ขึ้นสวรรค์
สันตะปาปาทรงให้สัญญาว่าทรัพย์สินและครอบครัวของนักรบครูเสดจะได้รับความคุ้มครองจากศาสนจักร
นักรบที่มีหนี้สินจะได้รับการยกเว้นหนี้และนักโทษคดีอาญาที่ไปร่วมรบก็จะได้รับอภัยโทษด้วย
นักรบครูเสดได้รับชัยชนะในสงครมครูเสดครั้งที่ 1 และสามารถยึดนครเยรูซาเลม
จากนั้นก็สร้างเขตปกครองของพวกคริสเตียนในปาเลสไตน์ขึ้นหลายแห่ง
อย่างไรก็ตามหลังจากนักรบครูเสดเลิกทัพกลับยุโรปแล้ว
พวกมุสลิมก็กลับมารุกรานนครเยรูซาเลมอีกและยึดเมืองของพวกคริสเตียนในปาเลสไตน์บางเมือง
ทำให้สงครามครูเสดยืดเยื้อต่อไป
สำนักวาติกันได้ขอร้องให้กษัตริย์และผู้ครองนครรัฐในยุโรปยกทัพในสงครามครูเสดครั้งที่ 2
(ค.ศ. 1147
– 1149) และครั้งที่ 3 (ค.ศ.1189 – 1192) แต่นักรบครูเสดก็ไม่สามารถปราบปรามพวกมุสลิมได้
ดังนั้นสันตะปาปาอินโนเชนต์ที่ 3 (Innocent III) จึงชักชวนพวกอัศวินและขุนนางในฝรั่งเศสไปรบในสงครามครูเสดครั้งที่ 4
(ค.ศ. 1202
– 1204) แต่นักรบครูเสดกลับไปยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล หลังจากนั้นสำนักวาติกันก็ยัคงสนับสนุนให้นักรบครูเสดไปรบกับพวกมุสลิมอีกแต่ในที่สุดเมือเอเคอร์
(Acre) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพวกคริสเตียนในปาเลสไตน์แห่งสุดท้ายถูกพวกมุสลิมยึดครองใน
ค.ศ. 1291 ทำให้สงครมครูเสดยุติลง
เหตุผลทางการเมือง
ในสมัยกลาง
สถาบันศาสนามีอิทธิพลทางการเมืองเหนือกษัตริย์และประมุขของดินแดนต่างๆ
จะเห็นได้ว่าสันตะปาปาเป็นผู้ประกอบพิธีถวายมงกุฎแก่กษัตริย์และจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
เพื่อแสดงถึงการมอบอำนาจทางโลกให้แก่กษัตริย์หรือจักรพรรดิในนามของพระเจ้า
การชักนำให้กษัตริย์และประมุขของดินแดนต่างๆ
ส่งกองทัพไปรบกับพวกมุสลิมในสงครามครูเสดทั้งหลาย
แสดงถึงอิทธิพลทางการเมืองของสันตะปาปาที่มีเหนือกษัตริย์และประมุขของดินแดนต่างๆ
ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าการที่กษัตริย์และประมุขเหล่านั้นไปร่วมรบใน

การแสวงหาประโยชน์ทางศรษฐกิจ
สงครามครูเสดได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะพ่อค้าในแหลมอิตาลีซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการขนส่งทหารและเสบียงอาหารให้กับกองทัพครูเสดไปยังปาเลสไตน์
ขณะเดียวกันพ่อค้าเหล่านั้นก็แสวงหาประโยชน์อื่นจากนักรบครูเสดด้วย
ดังกรณีที่พ่อค้า
เมืองเวนิส (Venice) เสนอจะลดค่าขนส่งที่มีมูลค่าสูงให้กับกองทัพครูเสดหากยินดียกทัพไปตีเมืองซารา
(Zare) ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญบนฝั่งทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) และเป็นคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญของเวนิส
สงครามครูเสดส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของยุโรป
ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
ด้านการเมือง สงครามครูเสดส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างกว้างขวาง
กล่าวคือ
ประการแรก สงครามครูเสดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและโลกมุสลิมเสื่อมลงเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีอคติต่อกัน
ประการที่สอง การที่นักรบครูเสดบุกยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลในสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ได้ทำให้จักรวรรดิไบแซนไทน์อ่อนแออย่างมาก
กระทั่งไม่อาจต้านทานการรุกรานของพวกออตโตมันเติร์กและล่มสลายไปในที่สุด
ประการที่สาม สงครามครูเสดมีผลให้ระบบฟิวดัลของยุโรปเสื่อมลง
เนื่องจากขุนนางและอัศวินซึ่งปกครองดูแลแมเนอร์ของตนในเขตต่างๆ
ต้องไปร่วมรบในสงครามครูเสด ทำให้กษัตริย์มีอำนาจปกครองดินแดนต่างๆ เพิ่มขึ้น
ซึ่งรวมถึงการจัดเก็บภาษีจากราษฎรและการเกณฑ์ทัพ
กระทั่งสามารถพัฒนารัฐชาติได้ในเวลาต่อมา
ด้านเศรษฐกิจ สงครามครูเสดส่งผลกระทบที่สำคัญทางเศรษฐกิจ คือ
ประการแรก หลังสงครามครูเสดยุติลงแล้ว
พ่อค้ายุโรปโดยเฉพาะในแหลมอิตาลีประสบปัญหาการเดินเรือในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เพราะเมืองท่าบางแห่งอยู่ใต้อำนาจของพวกมุสลิมซึ่งมีคติต่อชาวยุโรป
นอกจากนี้พ่อค้ายุโรปยังประสบปัญหาการขยายการค้ากับดินแดนตะวันออกตามเส้นทางบกซึ่งต้องผ่านดินแดนของพวกมุสลิม
ดังนั้นชาวยุโรปจึงต้องพัฒนาเส้นทางทะเล โดยเฉพาะการเดินเรืออ้อมแอฟริกาไปยังเอเชียที่ประสบความสำเร็จในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในเวลาต่อมา
ประการที่สอง การติดต่อกับตะวันออกกลางในช่วงสงครามครูเสดทำให้ชาวยุโรปรู้จักบริโภคสินค้าและผลิตภัณฑ์จากตะวันออกกลาง
เช่น ข้าว น้ำตาล มะนาว ผลแอปริคอต และผ้าป่านมัสลิน
ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่ยุโรปนำเข้าเป็นประจำ
ด้านสังคม สงครามครูเสดทำให้เกิดผลกระทบทางสังคม คือ
ประการแรก สงครามครูเสดได้เปิดโลกทัศน์ของชาวยุโรปเกี่ยวกับ “โลกตะวันออก” โดยเฉพาะคาวมก้าวหน้าและเทคโนโลยีของชาวตะวันออก
เช่น การใช้ดินปืนในการทำสงคราม
ต่อมาชาวยุโรปได้นำความรู้นี้ไปพัฒนาเป็นอาวุธปืนและสามารถทำสงครามชนะชาวเอเชีย
ทำให้ยุโรปกลายเป็นมหาอำนาจของโลก
ประการที่สอง นักรบครูเสดมาจากดินแดนต่างๆ
ในสังคมของระบบฟิวดัลที่ไม่มีโอกาสรู้จักโลกภายนอกมากนัก
เมื่อได้พบปะเพื่อนนักรบอื่นๆ จึงได้แลกเปลี่ยนทัศนคติและองค์ความรู้ต่อกัน
ทำให้เกิดการหล่อหลอมทางด้านวัฒนธรรมและความคิดของชาวยุโรป โดยเฉพาะในการแสดงออกทางความคิดการวิพากษ์วิจารณ์
และการเปิดรับแนวคิดใหม่
ซึ่งรากฐานของขบวนการมนุษย์นิยมที่เติบโตในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุดมการณ์เสรีนิยมของยุโรปสมัยใหม่
ประการที่สาม สงครามครูเสดเปิดโอกาสให้สตรีได้พัฒนาสถานะของผู้นำในสังคมและชุมชน
เนื่องจากสามีต้องไปรบในสงคราม
ภรรยาจึงต้องบริหารจัดการและดูแลทรัพย์สินรวมทั้งข้าทาสบริวารและผลประโยชน์ต่างๆ
ส่งผลให้สังคมยอมรับศักยภาพและความสามารถของสตรีซึ่งเป็นพลังสำคัญส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคม
ที่มา : http://metricsyst.wordpress.com สงครามครูเสด
(The Crusades, ค.ศ.1096-1291)
วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556
สงครามอ่าวเปอร์เซีย(Persian Gulf War)
ภูมิหลัง
คูเวต
เป็นประเทศในกลุ่มอาหรับขนาดเล็ก ตั้งอยู่ตอนบนของอ่าวเปอร์เซีย
ทางเหนือและตะวันตกติดกับอิรัก ทางตะวันออกติดกับอ่าวเปอร์เซีย
ทางใต้ติดกับซาอุดิอาระเบีย มีการค้นพบน้ำมันปิโตรเลียมในคูเวต เมื่อ ค.ศ 1930 ในปริมาณมาก ซึ่งประมาณว่า มีปริมาณร้อยละ 20
ของปริมาณน้ำมันทั้งโลก นับตั้งแต่ ค.ศ.1946 คูเวตเป็นประเทศผู้นำผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกและส่งน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก
คูเวตเคยเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษระหว่างค.ศ 1914-1961 เมื่อคูเวตได้รับเอกราชในวันที่
19 มิถุนายน 1961 รัฐบาลอิรักอ้างสิทธิว่าคูเวตเป็นส่วนหนึ่งของตนตามหลักเชื้อชาติ
ภูมิศาสตร์ และสังคม แต่สันนิบาตอาหรับรับรองเอกราชของคูเวต
ภายหลังสงครามอิรัก-อิหร่านซึ่งกินเวลาถึง 8 ปี ส่งผลให้อิรักบอบช้ำมากจากภาระบูรณะประเทศ อิรักต้องเป็นหนี้ต่างประเทศจำนวนประมาณ 80,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา ทำให้ฐานะเศรษฐกิจของอิรักทรุดหนัก อิรักมีสินค้าออกหลักคือน้ำมัน ซึ่งมีปริมาณร้อยละ 99 ของมูลค่าสินค้าออกทั้งหมด อิรักจึงพยายามผลักดันให้องค์การโอเปกกำหนดโควตาการผลิตน้ำมันและกำหนดราคาน้ำมันเสียใหม่ให้อิรักมีรายได้เพิ่มขึ้น อิรักอ้างว่าการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง เพราะคูเวตและสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ลอบผลิตและขายน้ำมันเกินโควตา นอกจากนี้อิรักยังกล่าวหาว่าระหว่างอิรักทำสงครามกับอิหร่านเป็นเวลา 8 ปี คูเวตได้ขยายพรมแพนล่วงล้ำเข้ามาทางใต้ของอิรัก4 กิโลเมตร เพื่อตั้งค่ายทหารและตั้งสถานีขุดเจาะน้ำมันเป็นการขโมยน้ำมันของอิรัก ยิ่งไปกว่านั้น อิรักทำสงครามกับอิหร่านในนามชาติอาหรับและเพื่อความมั่นคงของชาติอาหรับทั้งมวล จึงสมควรที่คูเวตต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ข้อเรียกร้องที่รุนแรงของอิรัก คือให้คูเวตคืนดินแดนที่รุกล้ำเข้ามา คือ เขต Rumailah oilfield ซึ่งมีน้ำมันอุดมสมบูรณ์และขอเช่าเกาะบูมิยัน กับเกาะวาร์บาห์ ในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อให้อิรักขายน้ำมันผ่านอ่าวเปอร์เซียโดยตรง โดยมิต้องขายน้ำมันทางท่อส่งน้ำมันผ่านซาอุดิอารเบียและตุรกีเช่นเดิม
สาเหตุ
กล่าวโดยสรุป
เหตุผลที่อิรักบุกคูเวตอย่างสายฟ้าแลบในเดือนสิงหาคม 1990 มีดังนี้
แรงกดดันจากหนี้สงครามอิรัก-อิหร่าน
อิรักจึงต้องการคุมแหล่งน้ำมันของโลกคือ คูเวต
เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการผลิตน้ำมันและการกำหนดราคาน้ำมัน อิรักไม่มีทางออกทะเลหรือทางอ่าวเปอร์เซีย
เพราะมีเกาะบูมิยันและเกาะวาห์บาห์ของคูเวตขวางทางอยู่
อิรักจึงมิอาจขายน้ำมันโดยตรงแก่เรือผู้ซื้อได้
ทั้งอิรักยังตกลงกับอิหร่านเรื่องการใช้เมืองท่าบัสราผ่านร่องน้ำซัตต์-อัล-อาหรับ
ไม่ได้ อิรักและคูเวตมีกรณีพิพาทดินแดน Rumailah Oilfield แหล่งน้ำมันที่สำคัญมาเป็นเวลานานและหาข้อยุติไม่ได้
อิรักจึงถือโอกาสยึดครองคูเวตด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์
ปฏิกริยาของประเทศต่างๆ
ปฏิกริยาของประเทศต่างๆ
ที่มีต่อการยึดครองคูเวตของอิรักแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ
สหประชาชาติ ชาติอภิมหาอำนาจ
รวมถึงกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เห็นตรงกันที่ต้องรักษาดุลอำนาจในตะวันออกลาง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติเป็นเอกฉันท์ประณามการรุกรานและเรียกร้องให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวตโดยไม่มีเงื่อนไข
มติของคณะมนตรีความมั่นคงอันดับต่อมา คือ
การประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแก่อิรักและคูเวต ยกเว้นอุปกรณ์ทางการแพทย์และอาหร
เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่อิรักก็ไม่ได้ปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติ
กลุ่มประเทศอาหรับด้วยกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
กลุ่มประเทศอาหรับด้วยกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
อิยิปต์ ซีเรีย ซาอุดิอารเบีย
เรียกร้องให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต
สนับสนุนการเข้ามาของกองกำลังพันธมิตรและถือว่าตนปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติ จอร์แดน เยเมน ตูนีเซีย แอลจีเรีย
และองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์
กลุ่มนี้เรียกร้องให้ชาติอาหรับเจรจาหาทางแก้ปัญหากันเอง
โดยไม่ต้องให้เป็นภาระขององค์การระดับโลก
นอกจากนี้ยังมองว่าการปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติเท่ากับเป็นการรังแกชาวอาหรับด้วยกันเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสหรัฐอเมริกาดำเนินการต่างๆ
เพื่อเรียกร้องนานาชาติกดดันให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต ภาพของประธานาธิบดีซัดดัม
ฮุสเซน กลายเป็นวีรบุรุษชาวอาหรับที่กล้าท้าทายโลกตะวันตก
สาเหตุที่สหรัฐอเมริกามีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงนั้น
เพราะอิรักทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง
และแสนยานุภาพของอิรักอาจเป็นอันตรายต่ออิสราเอลพันธมิตรที่ดีของสหรัฐอเมริกาในอนาคตอีกด้วย
Thaigoodview
ผลของสงคราม
เมื่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรประเทศต่างๆ
ส่งกำลังเข้าไปในซาอุดิอารเบีย เพื่อป้องกันการรุกรานของอิรัก
อิรักหันไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ซึ่งเป็นศัตรูของสหรัฐอเมริกาและเคยเป็นศัตรูของอิรักเองในสงครามอิรัก-อิหร่าน
อิรัก-อิหร่านได้ทำการแลกตัวประกันจำนวน 70,000 คน และอิรักได้ถอนทหารของตนออกจากดินแดนของอิหร่าน
ซึ่งอิรักยึดครองมาตั้งแต่สงครามอิรัก-อิหร่าน
การกระทำของอิรักชี้ให้เห็นว่าอิรักต้องการให้สถานการณ์ด้านอิหร่านสงบ
เพื่อไม่ต้องพะวงศึกสองด้าน
กองกำลังนานาชาติเพิ่มจำนวนเข้าไปในซาอุดิอาระเบียมากขึ้น
เป็นครั้งแรกที่สองอภิมหาอำนาจมีความเห็นตรงกันในการแก้ปัญหาการรุกรานคูเวตของอิรัก
ส่วนอิรักตอบโต้มติสหประชาชาติด้วยการเพิ่มกำลังเข้าไปในคูเวต อิรักมีศักยภาพทางทหารสูงกว่าประเทศอาหรับอื่นๆ
คือ มีทหารประจำการถึง 1 ล้านคนและมีอาวุธเคมี
อาวุธชีวภาพ ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงแต่ต้นทุนการผลิตต่ำ
อาวุธเหล่านี้อิรักได้รับความช่วยเหลือบ้างจากประเทศยุโรปตะวันตกในช่วงทำสงครามกับอิหร่าน
สงครามอ่าวเปอร์เซียเริ่มขึ้นเมื่อวันที่
17 มกราคม 1991 ภายหลังจากประธานาธิบดีจอร์ช
บุช
แห่งสหรัฐอเมริกาสามารถดำเนินวิธการทางการฑูตให้สหประชาชาติลงมติให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวตโดยเด็ดขาดภายใน
15 มกราคม 1991 มิฉะนั้น
กองกำลังพันธมิตรจะใช้มาตรการบังคับด้วยกำลังต่ออิรัก เมื่อครบกำหนดเส้นตาย
สหรัฐอเมริกาเปิดฉากโจมตีทางอากาศนในอิรักและคูเวตด้วยยุทธการ พายุทะเลทราย
กองกำลังพันธมิตรร่วมมือโจมตีอิรักอย่างต่อเนื่อง
อิรักซึ่งอยู่ในฐานะเป็นรองพยายามดึงอิสราเอลเข้าร่วมสงคราม โดยยิงจรวดสกั๊ด (SCUD)
โจมตีเมืองเทลอาวีปและเมืองท่าไฮฟา หากอิสราเอลหลงกลตอบโต้อิรัก
อิรักก็จะได้ประเทศอาหรับที่เป็นศัตรูกับอิสราเองมาเสริมกำลัง
แต่ความพยายามของประธานาธิบดีซัดดัมล้มเหลว
เมื่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรสามารถยับยั้งมิให้อิสราเอลใช้กำลังตอบโต้สงครามดำเนินต่อไปด้วยความร่วมมือของฝ่ายพันธมิตร
ปฏิบัติการพายุทะเลทราย ได้ดำเนินมาถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1991
หลังจากนั้นกองกำลังพันธมิตรได้เปิดฉากการโจมตีภาคพื้นดินต่ออิรัก
ในระยะเวลาเพียง 100 ชั่วโมงกองกำลังพันธมิตรก็ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในการยึดคูเวตมาได้สำเร็จในวันที่
26 กุมภาพันธ์ นั่นเอง หลังจากอิรักยึดครองคูเวตเป็นเวลานานกว่า
6 เดือน
ข้อควรพิจารณาจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย
คือ บทบาทที่เด่นชัดของสหประชาชาติในการระงับกรณีพิพาททั้งวิธีการฑูตและกำลังทหาร
รวมทั้งการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มาตรการต่างๆ
เหล่านี้สหประชาติาจะเลือกใช้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม
บทบาทของสหประชาชาติในสงครามอ่าวเปอร์เซียอยู่ภายใต้การชี้นำของสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจนด้วยเวทีทางการฑูตและการทหารแสดงให้เห็นว่า
บทบาทผู้นำโลกของสหรัฐอเมริกาลดความศักดิ์สิทธิ์ลงในสถานการณ์การเมืองโลกปัจจุบัน
ความร่วมมือระหว่างประเทศมหาอำนาจเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนั้น
ยังแสดงให้เห็นความสำเร็จเป็นครั้งแรกที่สหประชาชาติสามารถออกมติเพื่อลงโทษประเทศสมาชิกที่ละเมิดกฏบัตรด้วยการรุกรานประเทศอื่น
ทั้งนี้เป็นผลของการยุติการเผชิญหน้าของสองอภิมหาอำนาจและความจำเป็นของการร่วมมือของประเทศทั้งสอง
แม้สงครามอ่าวเปอร์เซียยุติตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
1991 แล้วก็ตาม
มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติได้บีบคั้นเศรษฐกิจของอิรักมากขึ้นกว่าเดิม
ประชาชนอดอยากขาดแคลนอาหารและยารักษาโรคจนมีสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมและต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ในเดือน พฤศจิกายน 1991นั้น สหประชาชาติได้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษตรวจสอบอาวุธของอิรัก
(unscom) เข้าไปตรวจสอบแหล่งผลิตและที่ซ่อนอาวุธเคมี
อาวุธนิวเคลียร์ และอาวุธชีวภาพของอิรัก เพื่อให้อิรักทำลายล้างอาวุธเหล่านี้
หลังจากนั้นสหประชาชาติจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิรัก
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหประชาชาติกับอิรักได้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ
ตั้งแต่อันสคอมถูกส่งเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในอิรักจนถึงปัจจุบัน
อิรักจะขัดขวางการทำงานของอันสคอมอยู่เสมอๆ เช่นกัน นอกจากนี้ในเดือนสิงหาคม 1992 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งเขตห้ามบินทางตอนใต้ของอิรักและขยายมายังตอนเหนือเพิ่มขึ้นในเดือนกันยายน
1996 ภายหลังสหรัฐอเมริกาได้โจมตีทางตอนใต้องอิรักอีก
เพื่อเป็นการตอบโต้อิรักปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ดอย่างรุนแรง
Military
เมื่อ ค.ศ.1997 อิรักได้ขับไล่ชาวอเมริกันออกจากทีมงานอันสคอมโดยกล่าวหาว่า
ชาวอเมริกาคนหนึ่งเป็นสายลับ ซึ่งสหรัฐอเมริกาปฏิบัติคำกล่าวหานี้
การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและอันสคอม กับอิรักได้ตึงเครียดมาตามลำดับ ค.ศ.1998
เมื่ออิรักขัดขวางเจ้าหน้าที่อันสคอม
(ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ รวมทั้งไทย)
ไม่ให้เข้าไปตรวจสอบอาวุบริเวณทำเนียบประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน นายโคฟี อันนาม
เลขาธิการสหประชาชาติเดินทางไปเจรจากับประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน
เพื่อยุติการเผชิญหน้าระหว่างอิรักกับสหรัฐอเมริกา
อิรักยินยอมให้อันสคอมตรวจสอบอาวุธบริเวณทำเนียบประธานาธิบดี
อันสคอมร้องเรียนสหประชาชาติว่าอิรักไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร และยังขัดขวางการปฏิบัติงานของอันสคอมอีกด้วย
การเผชิญหน้าระหว่างอิรักและสหรัฐอเมริกาทวีความรุนแรงมากขึ้น
ในเดือนธันวาคม 1998 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเตือนอิรักว่า
อาจจะมีการโจมตีอิรักได้ทุกเวลาหากอิรักยังคงขัดขวางการปฏิบัติงานของอันสคอม
16 ธันวาคม 1998
เจ้าหน้าที่ของอันสคอมต้องเดินทางออกจากอิรักเพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากอิรัก
และเช้าตรู่ของวันรุ่นขึ้น ประธานาธิบดี บิล คลินตัน
ได้ส่งกำลังทหารไปยังอ่าวเปอร์เซียร่วมกับกองกำลังทหารอังกฤษเพื่อยิงถล่มอิรักภายใต้ปฏิบัติการชื่อ
“ปฏิบัติการจิ้งจอกทะเลทราย” เป็นเวลา 4
วัน จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส รวมทั้งบรรดาชาติอาหรับอื่นๆ
ต่างประณามการกระทำของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยุติการโจมตีอิรัก ส่วนสมาชิกนาโต ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ ต่างสนับสนุนมาตรการแข็งกร้าวของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
ปัญหาอิรักคือปัญหาที่ท้าทายบทบาทของสหประชาชาติ
ในเวลาเดียวกันก็เป็นปัญหาภาพลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาที่ชี้นำและดำเนินการโดยพลการในนามสหประชาชาติ
ถือเป็นการละเมิดกฏบัตรสหประชาชาติและหลักการของประชาคมโลก นายโคฟี อันนาม
กล่าวแสดงความรู้สึกของเขาว่า “วันนี้เป็นวันที่น่าเศร้าของยูเอ็นและชาวโลก
ผมได้ทำทุกสิ่งเท่าที่มีอำนาจหน้าที่สร้างความสงบตามปณิธานของยูเอ็น
เพื่อระวังการใช้กำลัง สิ่งนี้ไม่ใช่ของง่าย เป็นกระบวนการเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด”
ที่มา : http://jiab007.wordpress.com สงครามอ่าวเปอร์เซีย
http://www.thaigoodview.com/ ปัญหาตะวันออกกลาง
สงครามกลางเมืองซีเรีย
สงครามกลางเมืองซีเรีย คร่าชีวิตผู้คนไปนับแสน
เมื่อในวันที่ 21 สิงหาคม 2556 รัฐบาลซีเรีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ได้สั่งการให้กองทัพทิ้งระเบิดเพื่อปราบกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล ในเมืองกัวตาห์ ชานกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,300 ราย ท่ามกลางคำกล่าวอ้างของกลุ่มพันธมิตรซีเรียที่ระบุว่า รัฐบาลใช้อาวุธเคมี รวมทั้งแก๊สพิษซารินในการสู้รบกับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน แม้ภายหลังทางการซีเรียจะออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่ทางสหประชาชาติก็เตรียมจะขอเข้าไปพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว
การสู้รบระหว่างรัฐบาล และฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ยืดเยื้อมานานกว่า 29 เดือนแล้ว และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ (23 สิงหาคม 2556) ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการมีอย่างน้อย 1 แสนคน และมีชาวซีเรียขอลี้ภัยเกือบ ๆ 2 ล้านคน
อะไรที่ทำให้สงครามซีเรียรุนแรงมากขนาดนี้ แล้วชนวนเหตุของสงครามกลางเมืองซีเรียแท้จริงแล้วเกิดจากอะไร ลองตามกระปุกดอทคอมไปย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกัน
ในช่วงปลายปี 2553 เรื่อยมาจนถึงปี 2554 ประชาชนในหลายประเทศของกลุ่มตะวันออกกลาง และทวีปแอฟริกาเหนือ ได้ลุกฮือประท้วงรัฐบาลของตัวเอง เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีก้าวลงจากตำแหน่ง หลังจากผูกขาดอำนาจมานานหลายทศวรรษ ไล่เรียงมาตั้งแต่ ตูนีเซีย อียิปต์ ลิเบีย เยเมน บาห์เรน ฯลฯ ระบาดไปทั่วภูมิภาคจนมีการเรียกขานปรากฏการณ์นี้ว่า "อาหรับสปริง" หรือการปฏิวัติในประเทศอาหรับ และในที่สุดปรากฏการณ์นี้ก็ขยายวงกว้างมาถึงประเทศซีเรีย เมื่อในวันที่ 15 มีนาคม 2554 กลุ่มประชาชนชาวซีเรียนับหมื่นที่ไม่พอใจรัฐบาลพรรคบะอัษ (Ba'ath) ของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ได้ประท้วงเดินขบวนเรียกร้องให้พรรคบะอัษยุติการปกครองประเทศและประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ต้องลาออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าคนในตระกูลอัล อัสซาด ผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในตำแหน่งประธานาธิบดีมานานกว่า 4 ทศวรรษ คือตั้งแต่ปี 2514 พันเอกฮาเฟซ อัล-อัสซาด ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจปกครองประเทศ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ลูกชายคือประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
เมื่อสถานการณ์การประท้วงทำท่าจะลุกลาม และบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ในเดือนเมษายน 2554 รัฐบาลก็ได้สั่งการให้กองกำลังความมั่นคงเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุมในหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากหลักสิบพุ่งเป็นหลักร้อย หลักพัน ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ จนองค์การสหประชาชาติ (UN) ต้องออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลซีเรียยุติการใช้ความรุนแรงกับประชาชน เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย ไม่ต่างจากสันนิบาตอาหรับที่สั่งระงับสมาชิกภาพของซีเรีย ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็พยายามกดดันซีเรียเช่นกัน ด้วยการอายัดทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้นำซีเรีย และแกนนำระดับสูงของรัฐบาลซีเรีย 6 คน พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้นำซีเรียสละอำนาจโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า รัฐบาลซีเรียจะไม่ได้สนใจต่อเสียงเรียกร้องจากนานาชาติเท่าใดนัก ยังคงเปิดฉากกวาดล้างผู้ชุมนุมอีกหลายครั้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศรัสเซีย และอิหร่าน ขณะที่ประเทศจีนคอยให้ความช่วยเหลือทางการทูต ทำให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ปรากฏตัวผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ย้ำความมั่นใจว่ารัฐบาลของตัวเองจะไม่ถูกโค่นล้มอย่างแน่นอน
ขณะที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ตอนแรกเป็นเพียงการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ แต่เมื่อถูกปราบปรามอย่างหนัก ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาจับอาวุธ โดยความร่วมมือกันระหว่างทหารที่แปรพักตร์ อาสาสมัคร และพลเรือนส่วนหนึ่ง หลังจากได้รับการสนับสนุนอาวุธจากประเทศตุรกี และซาอุดีอาระเบีย โดยมีประเทศฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี กาตาร์ ให้ความช่วยเหลือทางการทูต
การสู้รบยิ่งระอุขึ้นเรื่อย ๆ ในปลายปี 2554 เมื่อกลุ่มต่อต้านก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในกรุงดามัสกัส เมืองหลวง และเมืองอะเลปโป เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ขณะเดียวกันก็สะสมกองกำลังติดอาวุธมากขึ้น ทำให้รัฐบาลซีเรียต้องหันไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย "ฮิซบอลเลาะห์" ที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศเลบานอน ให้เข้ามาร่วมปฏิบัติการปราบกบฏกับกองทัพซีเรียด้วย โดยลั่นวาจาว่าปฏิบัติการจะดำเนินไปจนกว่าฝ่ายกบฏจะย่อยยับ
เมื่อกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก้าวเข้ามาร่วมในสงคราม ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์สงครามกลางเมืองเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ทางฝ่ายกบฏได้ลอบคาร์บอมบ์ ระเบิดที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก็เดินหน้าถล่มฝ่ายกบฏ พร้อมกับยึดเมืองคืน ขณะเดียวกันที่เป็นปริศนาก็คือ มีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เรียกกันว่า "ชาบีฮา" ซึ่งเป็นกองกำลังชุดดำติดอาวุธได้ทำการสังหารหมู่ประชาชนซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กัน
เหตุการณ์ลุกลามมาเรื่อย จนถึงในช่วงต้นปี 2556 องค์การระหว่างประเทศได้ออกมาประณามรัฐบาลซีเรียอย่างกว้างขวาง หลังจากได้จับกุมผู้ประท้วงหลายหมื่นคนไปทรมานอย่างหนักในเรือนจำของรัฐ รวมทั้งประณามฝ่ายต่อต้านที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 สหประชาชาติประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามซีเรียที่กินเวลามาเกือบ 2 ปี สูงกว่า 70,000 คน ราวครึ่งหนึ่งเป็นพลเรือน ผู้สูญหายอีกหลายหมื่นคน ขณะที่มีประชาชนชาวซีเรียกว่า 1.4 ล้านคน ขอลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ฝั่งนานาชาติก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์นี้ หลายประเทศในกลุ่มอาหรับประกาศปิดสถานทูตในซีเรีย เพื่อประท้วงรัฐบาลที่สังหารประชาชน ขณะที่องค์การที่เกี่ยวข้องก็ประชุมออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้สงครามครั้งเลวร้ายยุติลง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด คำว่า "สันติภาพ" ในประเทศซีเรีย ก็ยิ่งไกลห่างออกไปทุกที การสู้รบยังคงเกิดขึ้นอย่างดุเดือดและต่อเนื่อง แต่ละวันจะมีผู้คนล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน
ในปี 2556 ดูเหมือนว่าสงครามจะไม่ได้เป็นเรื่องของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย และฝ่ายต่อต้านแต่เพียงเท่านั้น เมื่อฝ่ายต่อต้านได้ลักพาตัวเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติ จำนวน 21 นาย เพื่อกดดันให้รัฐบาลถอนกำลัง อีกด้านหนึ่งทางกองทัพอิสราเอลก็ตัดสินใจยิงจรวดโจมตีคลังอาวุธของกองทัพซีเรียหลายครั้ง เพื่อหวังจะทำลายขีปนาวุธพิสัยไกลที่อิสราเอลอ้างว่าประเทศอิหร่านส่งมาช่วยซีเรียใช้ต่อสู้กับฝ่ายกบฏ และจะส่งต่อให้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในชายแดนเลบานอน
เมื่อประเทศอิสราเอลเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ ก็ทำให้กลุ่มประเทศสันนิบาตชาติอาหรับอดวิตกกังวลไม่ได้ว่า สถานการณ์จะยิ่งบานปลายขนาดไหน และก็เป็นดังคาด เมื่อกองทัพซีเรียขู่จะเปิดศึกอีกด้านกับอิสราเอล โดยประกาศกร้าวจะตอบโต้อิสราเอลที่ยิงจรวดโจมตีคลังแสงซีเรีย จนทำให้ทหารเสียชีวิต 42 นาย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทางรัฐบาลอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา กลับมองว่า การที่อิสราเอลส่งจรวดเข้าทำลายอาวุธของกองทัพซีเรีย ถือเป็นสิทธิของอิสราเอลที่จะปกป้องประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามของกลุ่มติดอาวุธตามแนวชายแดน
ขณะที่สงครามกลางเมืองในซีเรียก็ยังดำเนินต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าจะสงบลง กระทั่งปรากฏเป็นข่าวช็อกโลกในวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2556 เมื่อกองทัพซีเรียทิ้งระเบิดปราบกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลในเมืองกัวตาห์ ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,300 คน ในจำนวนนี้มีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา โดยภาพของศพนับพันที่นอนกันเรียงรายกลายเป็นภาพโศกนาฏกรรมอันน่าหดหู่ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้กลุ่มแนวร่วมแห่งชาติซีเรียและนักเคลื่อนไหวออกมาประณามรัฐบาลที่โจมตีประชาชนด้วยอาวุธเคมี และแก๊สพิษซาริน ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ทางการได้รีบออกมาปฏิเสธโดยทันที ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนก็เชื่อว่าอาจจะเป็นฝีมือของมือที่สามเข้ามาแทรกแซงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สหประชาชาติ และนานาชาติ ต่างพากันเรียกร้องให้รัฐบาลซีเรียอนุญาตให้คณะผู้ตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีของสหประชาชาติเข้าถึงพยาน และเหยื่อได้อย่างอิสระ โดยไม่มีการแทรกแซงหรือปั้นแต่งหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด
ที่มา :สงครามซีเรีย...ย้อนปมความขัดแย้งสู่สมรภูมิเลือด โดย กระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก : AFP
เมื่อในวันที่ 21 สิงหาคม 2556 รัฐบาลซีเรีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ได้สั่งการให้กองทัพทิ้งระเบิดเพื่อปราบกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล ในเมืองกัวตาห์ ชานกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,300 ราย ท่ามกลางคำกล่าวอ้างของกลุ่มพันธมิตรซีเรียที่ระบุว่า รัฐบาลใช้อาวุธเคมี รวมทั้งแก๊สพิษซารินในการสู้รบกับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน แม้ภายหลังทางการซีเรียจะออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่ทางสหประชาชาติก็เตรียมจะขอเข้าไปพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว
การสู้รบระหว่างรัฐบาล และฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ยืดเยื้อมานานกว่า 29 เดือนแล้ว และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ (23 สิงหาคม 2556) ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการมีอย่างน้อย 1 แสนคน และมีชาวซีเรียขอลี้ภัยเกือบ ๆ 2 ล้านคน
อะไรที่ทำให้สงครามซีเรียรุนแรงมากขนาดนี้ แล้วชนวนเหตุของสงครามกลางเมืองซีเรียแท้จริงแล้วเกิดจากอะไร ลองตามกระปุกดอทคอมไปย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกัน
ในช่วงปลายปี 2553 เรื่อยมาจนถึงปี 2554 ประชาชนในหลายประเทศของกลุ่มตะวันออกกลาง และทวีปแอฟริกาเหนือ ได้ลุกฮือประท้วงรัฐบาลของตัวเอง เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีก้าวลงจากตำแหน่ง หลังจากผูกขาดอำนาจมานานหลายทศวรรษ ไล่เรียงมาตั้งแต่ ตูนีเซีย อียิปต์ ลิเบีย เยเมน บาห์เรน ฯลฯ ระบาดไปทั่วภูมิภาคจนมีการเรียกขานปรากฏการณ์นี้ว่า "อาหรับสปริง" หรือการปฏิวัติในประเทศอาหรับ และในที่สุดปรากฏการณ์นี้ก็ขยายวงกว้างมาถึงประเทศซีเรีย เมื่อในวันที่ 15 มีนาคม 2554 กลุ่มประชาชนชาวซีเรียนับหมื่นที่ไม่พอใจรัฐบาลพรรคบะอัษ (Ba'ath) ของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ได้ประท้วงเดินขบวนเรียกร้องให้พรรคบะอัษยุติการปกครองประเทศและประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ต้องลาออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าคนในตระกูลอัล อัสซาด ผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในตำแหน่งประธานาธิบดีมานานกว่า 4 ทศวรรษ คือตั้งแต่ปี 2514 พันเอกฮาเฟซ อัล-อัสซาด ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจปกครองประเทศ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ลูกชายคือประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
เมื่อสถานการณ์การประท้วงทำท่าจะลุกลาม และบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ในเดือนเมษายน 2554 รัฐบาลก็ได้สั่งการให้กองกำลังความมั่นคงเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุมในหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากหลักสิบพุ่งเป็นหลักร้อย หลักพัน ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ จนองค์การสหประชาชาติ (UN) ต้องออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลซีเรียยุติการใช้ความรุนแรงกับประชาชน เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย ไม่ต่างจากสันนิบาตอาหรับที่สั่งระงับสมาชิกภาพของซีเรีย ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็พยายามกดดันซีเรียเช่นกัน ด้วยการอายัดทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้นำซีเรีย และแกนนำระดับสูงของรัฐบาลซีเรีย 6 คน พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้นำซีเรียสละอำนาจโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า รัฐบาลซีเรียจะไม่ได้สนใจต่อเสียงเรียกร้องจากนานาชาติเท่าใดนัก ยังคงเปิดฉากกวาดล้างผู้ชุมนุมอีกหลายครั้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศรัสเซีย และอิหร่าน ขณะที่ประเทศจีนคอยให้ความช่วยเหลือทางการทูต ทำให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ปรากฏตัวผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ย้ำความมั่นใจว่ารัฐบาลของตัวเองจะไม่ถูกโค่นล้มอย่างแน่นอน
ขณะที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ตอนแรกเป็นเพียงการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ แต่เมื่อถูกปราบปรามอย่างหนัก ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาจับอาวุธ โดยความร่วมมือกันระหว่างทหารที่แปรพักตร์ อาสาสมัคร และพลเรือนส่วนหนึ่ง หลังจากได้รับการสนับสนุนอาวุธจากประเทศตุรกี และซาอุดีอาระเบีย โดยมีประเทศฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี กาตาร์ ให้ความช่วยเหลือทางการทูต
![]() |
SHAAM NEWS NETWORK / AFP |
เมื่อกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก้าวเข้ามาร่วมในสงคราม ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์สงครามกลางเมืองเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ทางฝ่ายกบฏได้ลอบคาร์บอมบ์ ระเบิดที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก็เดินหน้าถล่มฝ่ายกบฏ พร้อมกับยึดเมืองคืน ขณะเดียวกันที่เป็นปริศนาก็คือ มีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เรียกกันว่า "ชาบีฮา" ซึ่งเป็นกองกำลังชุดดำติดอาวุธได้ทำการสังหารหมู่ประชาชนซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กัน
เหตุการณ์ลุกลามมาเรื่อย จนถึงในช่วงต้นปี 2556 องค์การระหว่างประเทศได้ออกมาประณามรัฐบาลซีเรียอย่างกว้างขวาง หลังจากได้จับกุมผู้ประท้วงหลายหมื่นคนไปทรมานอย่างหนักในเรือนจำของรัฐ รวมทั้งประณามฝ่ายต่อต้านที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 สหประชาชาติประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามซีเรียที่กินเวลามาเกือบ 2 ปี สูงกว่า 70,000 คน ราวครึ่งหนึ่งเป็นพลเรือน ผู้สูญหายอีกหลายหมื่นคน ขณะที่มีประชาชนชาวซีเรียกว่า 1.4 ล้านคน ขอลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ฝั่งนานาชาติก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์นี้ หลายประเทศในกลุ่มอาหรับประกาศปิดสถานทูตในซีเรีย เพื่อประท้วงรัฐบาลที่สังหารประชาชน ขณะที่องค์การที่เกี่ยวข้องก็ประชุมออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้สงครามครั้งเลวร้ายยุติลง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด คำว่า "สันติภาพ" ในประเทศซีเรีย ก็ยิ่งไกลห่างออกไปทุกที การสู้รบยังคงเกิดขึ้นอย่างดุเดือดและต่อเนื่อง แต่ละวันจะมีผู้คนล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน
![]() |
SAID KHATIB / AFP |
เมื่อประเทศอิสราเอลเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ ก็ทำให้กลุ่มประเทศสันนิบาตชาติอาหรับอดวิตกกังวลไม่ได้ว่า สถานการณ์จะยิ่งบานปลายขนาดไหน และก็เป็นดังคาด เมื่อกองทัพซีเรียขู่จะเปิดศึกอีกด้านกับอิสราเอล โดยประกาศกร้าวจะตอบโต้อิสราเอลที่ยิงจรวดโจมตีคลังแสงซีเรีย จนทำให้ทหารเสียชีวิต 42 นาย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทางรัฐบาลอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา กลับมองว่า การที่อิสราเอลส่งจรวดเข้าทำลายอาวุธของกองทัพซีเรีย ถือเป็นสิทธิของอิสราเอลที่จะปกป้องประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามของกลุ่มติดอาวุธตามแนวชายแดน
ขณะที่สงครามกลางเมืองในซีเรียก็ยังดำเนินต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าจะสงบลง กระทั่งปรากฏเป็นข่าวช็อกโลกในวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2556 เมื่อกองทัพซีเรียทิ้งระเบิดปราบกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลในเมืองกัวตาห์ ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,300 คน ในจำนวนนี้มีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา โดยภาพของศพนับพันที่นอนกันเรียงรายกลายเป็นภาพโศกนาฏกรรมอันน่าหดหู่ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
![]() |
SHAAM NEWS NETWORK / AFP |
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้กลุ่มแนวร่วมแห่งชาติซีเรียและนักเคลื่อนไหวออกมาประณามรัฐบาลที่โจมตีประชาชนด้วยอาวุธเคมี และแก๊สพิษซาริน ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ทางการได้รีบออกมาปฏิเสธโดยทันที ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนก็เชื่อว่าอาจจะเป็นฝีมือของมือที่สามเข้ามาแทรกแซงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สหประชาชาติ และนานาชาติ ต่างพากันเรียกร้องให้รัฐบาลซีเรียอนุญาตให้คณะผู้ตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีของสหประชาชาติเข้าถึงพยาน และเหยื่อได้อย่างอิสระ โดยไม่มีการแทรกแซงหรือปั้นแต่งหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด
ที่มา :สงครามซีเรีย...ย้อนปมความขัดแย้งสู่สมรภูมิเลือด โดย กระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก : AFP
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556
สงครามเวียดนาม
สงครามเวียดนาม เป็นข้อพิพาททางทหารยุคสงครามเย็นในประเทศเวียดนาม ลาวและกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 กระทั่งกรุงไซ่ง่อนแตกเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 สงครามเวียดนามนี้เกิดขึ้นหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง และมีเวียดนามเหนือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรคอมมิวนิสต์เป็นคู่สงครามฝ่ายหนึ่ง กับรัฐบาลเวียดนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อื่น ๆ เป็นคู่สงครามอีกฝ่ายหนึ่ง เวียดกง (หรือ แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ) เป็นแนวร่วมประชาชนคอมมิวนิสต์เวียดนามใต้ที่ติดอาวุธเบาซึ่งได้รับการสั่งการจากเวียดนามเหนือ สู้รบในสงครามกองโจรต่อกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่ กองทัพประชาชนเวียดนาม (กองทัพเวียดนามเหนือ) ต่อสู้ในสงครามตามแบบมากกว่า และบางครั้งส่งหน่วยขนาดใหญ่เข้าสู่ยุทธการ กำลังสหรัฐอเมริกาและเวียดนามใต้อาศัยความได้เปรียบทางอากาศและอำนาจการยิงที่เหนือกว่าเพื่อดำเนินปฏิบัติการค้นหาและทำลาย ซึ่งรวมถึงกำลังภาคพื้นดิน ปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศ
รัฐบาลสหรัฐมองว่าการเข้ามามีส่วนในสงครามเป็นหนทางป้องกันการยึดเวียดนามใต้ของคอมมิวนิสต์อันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา (containment) ที่ใหญ่กว่า
รัฐบาลเวียดนามเหนือและเวียดกงมองข้อพิพาทนี้เป็นสงครามอาณานิคม ซึ่งเริ่มต้นสู้กับฝรั่งเศส
โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ แล้วต่อมาสู้กับเวียดนามใต้
ซึ่งถูกมองว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดของสหรัฐ ที่ปรึกษาทางทหารชาวอเมริกันมาถึงอินโดจีนขณะนั้นเริ่มตั้งแต่
พ.ศ.2493 การเข้ามามีส่วนของสหรัฐเพิ่มขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยมีระดับทหารเพิ่มเป็นสามเท่าใน
พ.ศ. 2494 และเพิ่มอีกสามเท่าในปีต่อมา หน่วยรบของสหรัฐถูกจัดวางเริ่มตั้งแต่
พ.ศ. 2498 ปฏิบัติการเกิดขึ้นข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ
โดยลาวและกัมพูชาถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก
การเข้ามามีส่วนในสงครามของสหรัฐถึงขีดสุดใน พ.ศ. 2511 ขณะเดียวกับการรุกตรุษญวน หลังจากนี้
กำลังภาคพื้นดินของสหรัฐค่อย ๆ ถูกถอนออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่เรียกว่า การแผลงเป็นเวียดนาม (Vietnamization) แม้จะมีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีสโดยภาคีทุกฝ่ายเมื่อเดือนมกราคม
พ.ศ. 2516 แล้ว แต่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป
การมีส่วนร่วมทางทหารของสหรัฐยุติลงเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2516 อันเป็นผลมาจากคำแปรญัตติเคส–เชิร์ช (Case–Church
Amendment) ที่ผ่านโดยรัฐสภาสหรัฐ การยึดกรุงไซ่ง่อนโดยกองทัพประชาชนเวียดนามในเดือนเมษายน
พ.ศ. 2518 เป็นจุดสิ้นสุดของสงคราม และมีการรวมชาติเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ในปีต่อมา
สงครามนี้คร่าชีวิตมนุษย์ไปมหาศาล
ประเมินตัวเลขทหารและพลเรือนชาวเวียดนามที่ถูกสังหารมีตั้งแต่น้อยกว่า 1 ล้านคนเล็กน้อย ไปถึงกว่า 3 ล้านคน ชาวกัมพูชาเสียชีวิตราว 2-3 แสนคน ชาวลาวเสียชีวิต 20,000-200,000 คน และทหารชาวอเมริกันเสียชีวิตในข้อพิพาทนี้ 58,220 นาย
กำเนิดขบวนการใต้ดิน
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์
ได้ถือกำเนิดขึ้น โดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นำ
ระยะแรกการดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น
แต่ครั้งในปี ค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา
แต่กำลังการรบของเวียดมินห์นั้นยังเป็นกองกำลังเล็กๆ
ยังไม่สามารถที่จะไปต่อต้านพวกญี่ปุ่นได้ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน
จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้
ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ
ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช ได้เริ่มดำเนินการทันที ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม
ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิแห่งเวียดนาม"
และต่อมาทำให้กลุ่มของสมเด็จพระจักรพรรดิเบาได๋ มีความหวังยิ่งขึ้น
คือ นายพลเดอโกลล์ ได้กล่าวคลุมเครือว่าอยากให้เวียดนามปกครองตนเอง
ซึ่งทำให้พวกชาตินิยมในเวียดนามต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธียิ่งขึ้นไปอีก
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทำลายความหวังลงไป
เพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น แต่คำสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝง
ไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่ง
โดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก ประกาศเอกราชในเวียดนาม ซึ่งการที่กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น
ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ
จักรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น
แล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งนี้ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้อีก ต่างชาติเข้าแทรกแซง ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่
แต่โอกาสยังไม่อำนวยเพราะขาดกำลังทหารและพาหนะลำเลียง
แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม เพราะมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน
โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม
ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทำของอังกฤษ นายพลเกรซี่ย์
ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง สำหรับฝรั่งเศสมีทหารจำนวนเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อนแล้ว
ไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่
ขบวนการผู้รักชาติ
โฮจิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบ พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส
ซึ่งกระทำได้ก็โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์
พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย
และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน
ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน
ดำเนินการอย่างลับๆต่อมาเป็นเวลานาน
ข้อตกลงระหว่างจีนคณะชาติกับฝรั่งเศส
ภาคเหนือของเวียดนาม
เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่
ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์
และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ค
ยอมยกเลิกสิทธพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของเวียดนาม
โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจีน
จึงต้องยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะขณะนี้
โฮจิมินห์ ยังไม่พร้อมที่จะรบหรือต่อต้านกับชาติใดๆทั้งสิ้น
พยายามแสวงหาสันติภาพ
ฝรั่งเศสและเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยสันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง
ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็น ประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว
ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมา กล่าวคือ
การประชุมเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้น
เพราะการประชุมส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึงเสรีภาพเลย
ฝรั่งเศสมุ่งที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง
ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย
ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ฝ่ายเวียดมินห์เห็นว่า
การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผล
ดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกำลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1946
ปัญหาระหว่างฝรั่งเศส - เวียดนาม
เอกราชของเวียดมินห์ที่ชาวเวียดนามแสวงหา
กลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองที่สำคัญที่สุด
และเป็นผลทำให้ชาวเวียดนามที่มีหัวปานกลางที่สังกัดกลุ่มชาตินิยม
ซึ่งในระยะแรกคิดจะปรองดองกับฝรั่งเศส โดยจะยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสแบบใดแบบหนึ่ง
แล้วต้องสัญญาให้เอกราชที่สมบูรณ์ในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสไม่สนใจ
จึ่งทำให้พวกชาตินิยมกลุ่มนี้พยายามจัดตั้ง แนวสหภาพชาตินิยม เมื่อเดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1947 และได้กลายเป็นพลังการต่อต้านที่สำคัญในเวลาต่อมา
ด้วยเหตุดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นที่เกลียดชังของพวกชาตินิยมชาวเวียดนาม
แม้แต่พวกไม่เคยต่อต้านฝรั่งเศสและนักการเมืองก็ต้องให้ความร่วมมือกับพวกปฏิวัติ
หรือหนีไปนอกประเทศ ต่อมาในภายหลังฝรั่งเศสได้เสนอต่อเวียดนาม
ให้มีเสรีภาพในวงกรอบแห่งสหภาพฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ให้ความแน่ชัดในทางปฏิบัติ
จึงเป็นเหตุให้พวกเวียดมินห์ที่ไม่พอใจฝรั่งเศส
ทำการกวาดล้างชาวเวียดนามด้วยกันเองที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวของฝรั่งเศส
ปี ค.ศ. 1948 โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ
แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนด้วยการเชิญเบาไต๋
ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล แต่ก็ไม่เกิดผลดีแก่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด
เพราะฝ่ายชาตินิยมหมดความไว้วางใจในฝรั่งเศสเสียแล้ว
นอกจากนี้พวกคอมมิวนิสต์เวียดมินห์
ได้ควบคุมความเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมโดยสิ้นเชิง
และเบาไต๋ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน
การมองข้ามความสำคัญของพลังความรู้สึกทางชาตินิยมของชาวเวียดนาม
และการไม่แสวงหาสันติภาพด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความผิดพลาดขั้นแรกของฝรั่งเศส
ตลอดจนไม่นึกถึงความสำคัญของความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชน
ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้ข้าศึกสามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์ เมื่อปี
ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับเวียดนามมากยิ่งขึ้น
ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการทหาร เศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย
สารคดี : เวียดนามสงครามหมื่นวัน 1/2
สารคดี : เวียดนามสงครามหมื่นวัน 1/2
สารคดี : เวียดนามสงครามหมื่นวัน 2/2
ที่มา : Cr.NoHumanNoCry http://www.youtube.com/watch?v=_P-6ztLQNVQ
http://www.youtube.com/watch?v=hO6JNLjxmXg
: ภาพข่าวสดและวิกิพีเดีย http://variety.teenee.com/world/33408.html
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556
สงครามเกาหลี
สงครามเกาหลี (Korean War) เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น ซึ่งเริ่มต้นสู้รบกันเต็มรูปแบบในพื้นที่คาบสมุทรเกาหลีในวันที่ ๒๕ มิ.ย.๑๙๕๐ จนกระทั่งมีการทำสัญญาสงบศึกกันใน ๒๗ ก.ค.๑๙๕๓ มี ผลลัพธ์ให้เกิดการจัดตั้งเขตปลอดทหาร ดินแดนถูกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามเส้นขนานที่ ๓๘ กำลังรบของสหประชาชาติประกอบด้วยทหารจาก สาธารณะรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม คานาดา โคลัมเบีย เอธิโอเปีย ฝรั่งเศส กรีก ลัมเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ ไทย เตอร์กี

ในเกาหลี สงครามครั้งนี้ถูกเรียกว่า “สงคราม 6.25” ตามวันที่ที่เกิดสงครามมากกว่าที่จะเรียกอย่างเป็นทางการว่า Hanguk Jeonjaeng ซึ่งหมายถึง “สงครามเกาหลี” ในเกาหลีเหนือ ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สงครามปลดกู้ชาติแผ่นดินพ่อ (Fatherland Liberation War)” ในสหรัฐฯเรียกชื่อแบบการเมืองว่า ”ความขัดแย้งเกาหลี (Korean Conflict)” มากกว่าที่จะเรียกว่า "สงคราม" เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่จะต้องประกาศสงครามโดยรัฐสภา สงครามนี้บางครั้งถูก
สารคดี สงครามเกาหลี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)