วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

ประเทศไทยกับอาเซียน

       
     
          สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2510 มีพัฒนาการมาเป็นลำดับและไทยก็มีบทบาทสำ คัญในการผลักดันความร่วมมือของอาเซียนให้มีความคืบหน้ามาโดยตลอด ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้น มีบทบาทสำคัญในการเดินทางไปเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างมลายาและฟิลิปปินส์ เรื่องการอ้างกรรมสิทธิเหนือดินแดนซาบาห์และซาราวัก รวมทั้งการที่สิงคโปร์แยกตัวออกมาจากมลายา และได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก 4 ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซียฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ มาหารือร่วมกันที่แหลมแท่น จังหวัดชลบุรีอันนำมาสู่การลงนามในปฏิญญากรุงเทพ เพื่อก่อตั้งอาเซียน ที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ไทยจึงถือเป็นทั้งประเทศ ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็น “บ้านเกิด” ของอาเซียน
          ต่อมาอาเซียนได้ขยายสมาชิกภาพขึ้นมาเป็นลำดับ โดยบรูไนดารุสซาลาม เข้าเป็นสมาชิกเป็นประเทศที่ 6 ในปี 2527 และภายหลังเมื่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เหลืออีก 4 ประเทศ คือ เวียดนาม ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา ทยอยกันเข้าเป็นสมาชิกจนครบ 10 ประเทศ เมื่อปี 2542 นับเป็นก้าวสำคัญที่ไทยได้มีบทบาทเชื่อมโยงประเทศที่ตั้งอยู่บนภาคพื้นทวีปและประเทศที่เป็นหมู่เกาะทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยมีไทยเป็นจุดศูนย์กลาง ถึงแม้ว่าปฏิญญากรุงเทพ จะมิได้ระบุถึงความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง โดยกล่าวถึงเพียงความร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา การเกษตร อุตสาหกรรม การส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค แต่อาเซียนได้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาค ลดความหวาดระแวงและช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและที่สำคัญไทยได้เป็นแกนนำร่วมกับอินโดนีเซียและประเทศสมาชิก อาเซียนดัง้ เดิมในการแก้ไขปัญหากัมพชู า รวมทัง้ ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยอินโดจีนจนประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และช่วยเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อไทยที่เป็นประเทศด่านหน้า


          นอกจากนี้ ประเทศไทย โดยอดีตนายกรัฐมนตรีนายอานันท์ปันยารชุน มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้มีความคืบหน้า โดยการริเริ่มให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ขึ้นเมื่อปี 2535 โดยอาเซียนตกลงที่จะลดภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือร้อยละ 0-5 ในเวลา 15 ปี ซึ่งต่อมาได้ลดเวลาลงเหลือ 10 ปี โดยประเทศสมาชิกเก่า 6 ประเทศ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2546 ในขณะที่ประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ดำเนินการเสร็จสิ้นในปี 2551
          ต่อมาที่ประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลี เมื่อปี 2546 ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะสร้างประชาคมอาเซียน โดยมีการจัดทำแผนงานด้านต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว นำมาสู่การจัดทำ กฎบัตรอาเซียน เพื่อวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรของอาเซียน ทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีกฎกติกาในการทำงาน
          มีประสิทธิภาพ และเป็นองค์กรเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กฎบัตรอาเซียน ได้เริ่มมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไทยได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน และที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ได้รับรองปฏิญญาชะอำ - หัวหินว่าด้วยแผนงานสำหรับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในทั้ง 3 เสาหลัก คือประชาคมการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจและประชาคมสังคมและวัฒนธรรม เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของการจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558



ที่มา : ประเทศไทยกับอาเซียน.สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ.กรมประชาสัมพันธ์.เมษายน,2555

ประชาคมอาเซียน (ASEAN)

กำเนิดอาเซียนและวัตถุประสงค์

          สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (Association of South East Asian Nations : ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) ลงนามโดย รัฐมนตรีจาก 5 ประเทศ ได้แก่ นายอาดัม มาลิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย, 
ตุน อับดุล ราซักบิน ฮุสเซน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ประเทศมาเลเซีย, นายนาซิโซ รามอส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์, นายเอส ราชารัตนัม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และพันเอก (พิเศษ) ดร.ถนัดคอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงปลอดภัยทางการเมือง สร้างสรรค์ความ
เจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมการกินดีอย่ดี บนพืน้ ฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ ร่วมกนัจากเจตจำนงที่สอดคล้องกันนี้นำไปสู่การขยายสมาชิกภาพ โดยบรูไนดารุสซาลาม ได้เข้าเป็นสมาชิกในลำดับที่ 6 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2527 สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 7 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เข้าเป็นสมาชิกพร้อมกัน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 และราชอาณาจักรกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิก ลำดับที่ 10 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2542 ทำให้ปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ



          ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการ ของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่
          (1) ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
          (2) ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
          (3) เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ พัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
          (4) ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
          (5) ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
          (6) เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
          (7)เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอกองค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่น ๆ และองค์การระหว่างประเทศ     
          นโยบายการดำเนินงานของอาเซียนจะเป็นผลจากการประชุมหารือในระดับหัวหน้ารัฐบาล ระดับรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ทั้งนี้การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) หรือ การประชุมของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นการประชุมระดับสูงสุดเพื่อกำหนดแนวนโยบายในภาพรวมและเป็นโอกาสที่ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันประกาศเป้าหมายและแผนงานของอาเซียนในระยะยาวซึ่งจะปรากฏเป็นเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) แถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration) ปฏิญญา  (Declaration) ความตกลง (Agreement) หรืออนุสัญญา (Convention) ส่วนการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสจะเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาทั้งนโยบายในภาพรวมและนโยบายเฉพาะด้าน
          อาเซียนได้ลงนามร่วมกันในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่ 2 (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) เพื่อประกาศจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020 โดยสนับสนุนการรวมตัวและความร่วมมืออย่างรอบด้าน ในด้านการเมือง ให้จัดตั้ง “ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน” หรือ ASEANPolitical-Security Community (APSC) ด้านเศรษฐกิจ ให้จัดตั้ง “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ ASEAN Economic Community (AEC) และด้านสังคมและวัฒนธรรมให้จัดตั้ง “ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน” หรือ ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) ซึ่งต่อมาผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้เร่งรัดการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีก 5 ปี คือภายในปี 2558 หรือ ค.ศ. 2015 โดยได้เล็งเห็นว่าสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาเซียนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถคงบทบาทนำในการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาคและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

สัญลักษณ์และธงของอาเซียน



          สัญลักษณ์ของอาเซียนเป็นรวงข้าวสีเหลือง 10 มัด หมายถึงการที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ รวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อยู่ในพื้นที่วงกลม สีแดง สีขาว และน้ำเงิน ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกภาพ มีตัวอักษรคำว่า “asean” สีน้ำเงิน อยู่ใต้ภาพรวงข้าวอันแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน สีทั้งหมดที่ปรากฏในสัญลักษณ์ของอาเซียนเป็นสีสำคัญที่ปรากฏในธงชาติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน
     สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
     สีแดง     หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
     สีขาว     หมายถึง ความบริสุทธิ์ และ
     สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง

เพลงประจำอาเซียน (ASEAN Anthem)

          การจัดทำเพลงประจำอาเซียน เป็นการดำเนินการตามข้อ 40 ของกฎบัตรอาเซียนที่กำหนดให้อาเซียน “มีเพลงประจำอาเซียน” ในปี 2551 ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกอาเซียน ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเพลงประจำอาเซียน ซึ่งได้จัดเป็นการแข่งขันแบบเปิดให้ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนที่สนใจส่งเพลงของตนเองเข้าประกวด (open competition) โดยมีหลักเกณฑ์ 5 ประการ ได้แก่
          1. มีเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ
          2. มีลักษณะเป็นเพลงชาติประเทศสมาชิกอาเซียน
          3. มีความยาวไม่เกิน 1 นาที
          4. เนื้อร้องสะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนและความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
          5. เป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่
         เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกเพลง ASEAN Way ของไทยที่แต่งโดย นายกิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนองและเรียบเรียง) นายสำเภา ไตรอุดม (ทำนอง) และ นางพะยอม วลัยพัชรา (เนื้อร้อง) ให้เป็นเพลงประจำอาเซียน และได้ใช้บรรเลงอย่างเป็นทางการในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552

THE ASEAN WAY

ขอบคุณ คลิปจากWiraphan Chotsaeng


กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter)

          ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 เมื่อปี 2550 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญของอาเซียนที่จะวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนในการดำ เนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้ โดยวัตถุประสงค์ของกฎบัตรคือ ทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและเคารพกฎกติกาในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ กฎบัตรอาเซียนจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลแก่อาเซียนในฐานะที่เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล(Intergovernmental Organization)จุดเด่นประการหนึ่งของกฎบัตรอาเซียน คือ การที่ข้อบทต่าง ๆถูกกำ หนดขึ้นเพื่อให้อาเซียนเป็นองค์กรที่ประชาชนเข้าถึงและเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศสมาชิกมากยิ่งขึ้น กฎบัตรอาเซียนประกอบด้วยบทบัญญัติ 13 บท รวม 55 ข้อย่อย


ที่มา : ประเทศไทยกับอาเซียน.สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ.กรมประชาสัมพันธ์.เมษายน,2555

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

สงครามครูเสด

สงครามครูเสด (The Crusades, ค.ศ.1096-1291)
          

          สงครามครูเสดเป็นสงครามระหว่างพวกคริสเตียนในยุโรปกับพวกมุสลิมที่ยึดครองนครเยรูซาเล็มในปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ พวกคริสเตียนยกทัพไปโจมตีดินแดนของพวกมุสลิม โดยอ้างว่าเพื่อปลดปล่อยนครเยรูซาเลม สงครามครูเสดดำเนินอยู่ในช่วงเวลาเกือบ 200 ปี และก่อให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการของยุโรปทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

สาเหตุของสงครามครูเสด
          ชาวยุโรปยกทัพไปทำสงครามครูเสดรวม 6 ครั้ง เหตุผลโดยรวมของการทำสงครามคือปลดปล่อยนครเยรูซาเลมอันศักดิ์สิทธิ์จากการควบคุมของพวกมุสลิม แต่เมื่อวิเคราะห์จากเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว พบว่าการสนับสนุนสงครามครูเสดของชาวยุโรปเกิดจากสาเหตุสำคัญ คือ ความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ เหตุผลทางการเมือง และการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

ความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์
          เป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้ชาวยุโรปเดินทางไปทำสงครามครูเสด เนื่องจากคริสต์ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์จากยุโรปที่เดินทางไปแสวงบุญยังนครเยรูซาเลมถูกพวกเติร์กที่ยึดครองปาเลสไตน์อยู่ขัดขวางและบางคนถูกสังหาร สำนักวาติกันซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดของศาสนาคริสต์ได้เรียกร้องให้พวกคริสเตียนไปร่วมรบเพื่อชิงนครเยรูซาเลมจากพวกมุสลิม นักรบที่ร่วมในสงครามจะเย็บเครื่องหมายกางเขนที่ทำด้วยผ้าติดไว้บนเสื้อผ้าของตน จึงถูกเรียกว่า “crusader” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ที่ติดเครื่องหมายกางเขน” และเป็นที่มาของชื่อสงครามครูเสด

          ใน ค.ศ. 1095 สันตะปาปาเออร์แบบที่ 2 (Urban II) เรียกประชุมผู้นำทางศาสนาและขุนนางที่มีอำนาจในเขตต่างๆ ของฝรั่งเศสเพื่อให้ยุติการสู้รบแย่งชิงอำนาจกัน และช่วยกันปกป้องศาสนาคริสต์ ในปีถัดมาสันตะปาปาทรงนำทัพในสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ผู้เข้าร่วมสงครามซึ่งมีจำนวนมากมาจากดินแดนต่างๆ ทั่วยุโรป เพราะเชื่อว่าการไปรบเพื่อศาสนาจะเป็นการไถ่บาปที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่เสียชีวิตในสงครามครูเสดจะได้ขึ้นสวรรค์ สันตะปาปาทรงให้สัญญาว่าทรัพย์สินและครอบครัวของนักรบครูเสดจะได้รับความคุ้มครองจากศาสนจักร นักรบที่มีหนี้สินจะได้รับการยกเว้นหนี้และนักโทษคดีอาญาที่ไปร่วมรบก็จะได้รับอภัยโทษด้วย นักรบครูเสดได้รับชัยชนะในสงครมครูเสดครั้งที่ 1 และสามารถยึดนครเยรูซาเลม จากนั้นก็สร้างเขตปกครองของพวกคริสเตียนในปาเลสไตน์ขึ้นหลายแห่ง อย่างไรก็ตามหลังจากนักรบครูเสดเลิกทัพกลับยุโรปแล้ว พวกมุสลิมก็กลับมารุกรานนครเยรูซาเลมอีกและยึดเมืองของพวกคริสเตียนในปาเลสไตน์บางเมือง ทำให้สงครามครูเสดยืดเยื้อต่อไป
           สำนักวาติกันได้ขอร้องให้กษัตริย์และผู้ครองนครรัฐในยุโรปยกทัพในสงครามครูเสดครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1147 – 1149) และครั้งที่ 3 (ค.ศ.1189 – 1192) แต่นักรบครูเสดก็ไม่สามารถปราบปรามพวกมุสลิมได้ ดังนั้นสันตะปาปาอินโนเชนต์ที่ 3 (Innocent III) จึงชักชวนพวกอัศวินและขุนนางในฝรั่งเศสไปรบในสงครามครูเสดครั้งที่ 4 (ค.ศ. 1202 – 1204) แต่นักรบครูเสดกลับไปยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล หลังจากนั้นสำนักวาติกันก็ยัคงสนับสนุนให้นักรบครูเสดไปรบกับพวกมุสลิมอีกแต่ในที่สุดเมือเอเคอร์ (Acre) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพวกคริสเตียนในปาเลสไตน์แห่งสุดท้ายถูกพวกมุสลิมยึดครองใน ค.ศ. 1291 ทำให้สงครมครูเสดยุติลง

เหตุผลทางการเมือง
          ในสมัยกลาง สถาบันศาสนามีอิทธิพลทางการเมืองเหนือกษัตริย์และประมุขของดินแดนต่างๆ
จะเห็นได้ว่าสันตะปาปาเป็นผู้ประกอบพิธีถวายมงกุฎแก่กษัตริย์และจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแสดงถึงการมอบอำนาจทางโลกให้แก่กษัตริย์หรือจักรพรรดิในนามของพระเจ้า การชักนำให้กษัตริย์และประมุขของดินแดนต่างๆ ส่งกองทัพไปรบกับพวกมุสลิมในสงครามครูเสดทั้งหลาย แสดงถึงอิทธิพลทางการเมืองของสันตะปาปาที่มีเหนือกษัตริย์และประมุขของดินแดนต่างๆ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าการที่กษัตริย์และประมุขเหล่านั้นไปร่วมรบใน
สงครามครูเสดก็มิได้เกิดจากศรัทธาต่อศาสนาคริสต์เพียงประการเดียว แต่ยังเป็นการตอบสนองนโยบายของสันตะปาปาเพื่อความมั่นคงทางการเมืองของตนด้วย

การแสวงหาประโยชน์ทางศรษฐกิจ
           สงครามครูเสดได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพ่อค้าในแหลมอิตาลีซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการขนส่งทหารและเสบียงอาหารให้กับกองทัพครูเสดไปยังปาเลสไตน์ ขณะเดียวกันพ่อค้าเหล่านั้นก็แสวงหาประโยชน์อื่นจากนักรบครูเสดด้วย ดังกรณีที่พ่อค้า
เมืองเวนิส (Venice) เสนอจะลดค่าขนส่งที่มีมูลค่าสูงให้กับกองทัพครูเสดหากยินดียกทัพไปตีเมืองซารา (Zare) ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญบนฝั่งทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) และเป็นคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญของเวนิส

ผลกระทบของสงครามครูเสดต่อพัฒนาการของยุโรป
          สงครามครูเสดส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของยุโรป ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
ด้านการเมือง สงครามครูเสดส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างกว้างขวาง กล่าวคือ
          ประการแรก สงครามครูเสดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและโลกมุสลิมเสื่อมลงเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีอคติต่อกัน
          ประการที่สอง การที่นักรบครูเสดบุกยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลในสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ได้ทำให้จักรวรรดิไบแซนไทน์อ่อนแออย่างมาก กระทั่งไม่อาจต้านทานการรุกรานของพวกออตโตมันเติร์กและล่มสลายไปในที่สุด
          ประการที่สาม สงครามครูเสดมีผลให้ระบบฟิวดัลของยุโรปเสื่อมลง เนื่องจากขุนนางและอัศวินซึ่งปกครองดูแลแมเนอร์ของตนในเขตต่างๆ ต้องไปร่วมรบในสงครามครูเสด ทำให้กษัตริย์มีอำนาจปกครองดินแดนต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการจัดเก็บภาษีจากราษฎรและการเกณฑ์ทัพ กระทั่งสามารถพัฒนารัฐชาติได้ในเวลาต่อมา

ด้านเศรษฐกิจ สงครามครูเสดส่งผลกระทบที่สำคัญทางเศรษฐกิจ คือ
          ประการแรก หลังสงครามครูเสดยุติลงแล้ว พ่อค้ายุโรปโดยเฉพาะในแหลมอิตาลีประสบปัญหาการเดินเรือในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะเมืองท่าบางแห่งอยู่ใต้อำนาจของพวกมุสลิมซึ่งมีคติต่อชาวยุโรป นอกจากนี้พ่อค้ายุโรปยังประสบปัญหาการขยายการค้ากับดินแดนตะวันออกตามเส้นทางบกซึ่งต้องผ่านดินแดนของพวกมุสลิม ดังนั้นชาวยุโรปจึงต้องพัฒนาเส้นทางทะเล โดยเฉพาะการเดินเรืออ้อมแอฟริกาไปยังเอเชียที่ประสบความสำเร็จในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในเวลาต่อมา
          ประการที่สอง การติดต่อกับตะวันออกกลางในช่วงสงครามครูเสดทำให้ชาวยุโรปรู้จักบริโภคสินค้าและผลิตภัณฑ์จากตะวันออกกลาง เช่น ข้าว น้ำตาล มะนาว ผลแอปริคอต และผ้าป่านมัสลิน ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่ยุโรปนำเข้าเป็นประจำ

ด้านสังคม สงครามครูเสดทำให้เกิดผลกระทบทางสังคม คือ
          ประการแรก สงครามครูเสดได้เปิดโลกทัศน์ของชาวยุโรปเกี่ยวกับ “โลกตะวันออก” โดยเฉพาะคาวมก้าวหน้าและเทคโนโลยีของชาวตะวันออก เช่น การใช้ดินปืนในการทำสงคราม ต่อมาชาวยุโรปได้นำความรู้นี้ไปพัฒนาเป็นอาวุธปืนและสามารถทำสงครามชนะชาวเอเชีย ทำให้ยุโรปกลายเป็นมหาอำนาจของโลก
          ประการที่สอง นักรบครูเสดมาจากดินแดนต่างๆ ในสังคมของระบบฟิวดัลที่ไม่มีโอกาสรู้จักโลกภายนอกมากนัก เมื่อได้พบปะเพื่อนนักรบอื่นๆ จึงได้แลกเปลี่ยนทัศนคติและองค์ความรู้ต่อกัน ทำให้เกิดการหล่อหลอมทางด้านวัฒนธรรมและความคิดของชาวยุโรป โดยเฉพาะในการแสดงออกทางความคิดการวิพากษ์วิจารณ์ และการเปิดรับแนวคิดใหม่ ซึ่งรากฐานของขบวนการมนุษย์นิยมที่เติบโตในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุดมการณ์เสรีนิยมของยุโรปสมัยใหม่
          ประการที่สาม สงครามครูเสดเปิดโอกาสให้สตรีได้พัฒนาสถานะของผู้นำในสังคมและชุมชน เนื่องจากสามีต้องไปรบในสงคราม ภรรยาจึงต้องบริหารจัดการและดูแลทรัพย์สินรวมทั้งข้าทาสบริวารและผลประโยชน์ต่างๆ ส่งผลให้สังคมยอมรับศักยภาพและความสามารถของสตรีซึ่งเป็นพลังสำคัญส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคม



ที่มา : http://metricsyst.wordpress.com สงครามครูเสด (The Crusades, ค.ศ.1096-1291)

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

สงครามอ่าวเปอร์เซีย(Persian Gulf War)

          ภูมิหลัง
          คูเวต เป็นประเทศในกลุ่มอาหรับขนาดเล็ก ตั้งอยู่ตอนบนของอ่าวเปอร์เซีย ทางเหนือและตะวันตกติดกับอิรัก ทางตะวันออกติดกับอ่าวเปอร์เซีย ทางใต้ติดกับซาอุดิอาระเบีย มีการค้นพบน้ำมันปิโตรเลียมในคูเวต เมื่อ ค.ศ 1930 ในปริมาณมาก ซึ่งประมาณว่า มีปริมาณร้อยละ 20 ของปริมาณน้ำมันทั้งโลก นับตั้งแต่ ค.ศ.1946 คูเวตเป็นประเทศผู้นำผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกและส่งน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก คูเวตเคยเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษระหว่างค.ศ 1914-1961 เมื่อคูเวตได้รับเอกราชในวันที่ 19 มิถุนายน 1961 รัฐบาลอิรักอ้างสิทธิว่าคูเวตเป็นส่วนหนึ่งของตนตามหลักเชื้อชาติ ภูมิศาสตร์ และสังคม แต่สันนิบาตอาหรับรับรองเอกราชของคูเวต

ภายหลังสงครามอิรัก-อิหร่านซึ่งกินเวลาถึง 8 ปี ส่งผลให้อิรักบอบช้ำมากจากภาระบูรณะประเทศ อิรักต้องเป็นหนี้ต่างประเทศจำนวนประมาณ 80,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา ทำให้ฐานะเศรษฐกิจของอิรักทรุดหนัก อิรักมีสินค้าออกหลักคือน้ำมัน ซึ่งมีปริมาณร้อยละ 99 ของมูลค่าสินค้าออกทั้งหมด อิรักจึงพยายามผลักดันให้องค์การโอเปกกำหนดโควตาการผลิตน้ำมันและกำหนดราคาน้ำมันเสียใหม่ให้อิรักมีรายได้เพิ่มขึ้น อิรักอ้างว่าการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง เพราะคูเวตและสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ลอบผลิตและขายน้ำมันเกินโควตา นอกจากนี้อิรักยังกล่าวหาว่าระหว่างอิรักทำสงครามกับอิหร่านเป็นเวลา 8 ปี คูเวตได้ขยายพรมแพนล่วงล้ำเข้ามาทางใต้ของอิรัก4 กิโลเมตร เพื่อตั้งค่ายทหารและตั้งสถานีขุดเจาะน้ำมันเป็นการขโมยน้ำมันของอิรัก ยิ่งไปกว่านั้น อิรักทำสงครามกับอิหร่านในนามชาติอาหรับและเพื่อความมั่นคงของชาติอาหรับทั้งมวล จึงสมควรที่คูเวตต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ข้อเรียกร้องที่รุนแรงของอิรัก คือให้คูเวตคืนดินแดนที่รุกล้ำเข้ามา คือ เขต Rumailah oilfield ซึ่งมีน้ำมันอุดมสมบูรณ์และขอเช่าเกาะบูมิยัน กับเกาะวาร์บาห์ ในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อให้อิรักขายน้ำมันผ่านอ่าวเปอร์เซียโดยตรง โดยมิต้องขายน้ำมันทางท่อส่งน้ำมันผ่านซาอุดิอารเบียและตุรกีเช่นเดิม
          สาเหตุ
          กล่าวโดยสรุป เหตุผลที่อิรักบุกคูเวตอย่างสายฟ้าแลบในเดือนสิงหาคม 1990 มีดังนี้
          แรงกดดันจากหนี้สงครามอิรัก-อิหร่าน อิรักจึงต้องการคุมแหล่งน้ำมันของโลกคือ คูเวต เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการผลิตน้ำมันและการกำหนดราคาน้ำมัน อิรักไม่มีทางออกทะเลหรือทางอ่าวเปอร์เซีย เพราะมีเกาะบูมิยันและเกาะวาห์บาห์ของคูเวตขวางทางอยู่ อิรักจึงมิอาจขายน้ำมันโดยตรงแก่เรือผู้ซื้อได้ ทั้งอิรักยังตกลงกับอิหร่านเรื่องการใช้เมืองท่าบัสราผ่านร่องน้ำซัตต์-อัล-อาหรับ ไม่ได้ อิรักและคูเวตมีกรณีพิพาทดินแดน Rumailah Oilfield แหล่งน้ำมันที่สำคัญมาเป็นเวลานานและหาข้อยุติไม่ได้ อิรักจึงถือโอกาสยึดครองคูเวตด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์

          ปฏิกริยาของประเทศต่าง
          ปฏิกริยาของประเทศต่างๆ ที่มีต่อการยึดครองคูเวตของอิรักแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ
          สหประชาชาติ ชาติอภิมหาอำนาจ รวมถึงกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เห็นตรงกันที่ต้องรักษาดุลอำนาจในตะวันออกลาง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติเป็นเอกฉันท์ประณามการรุกรานและเรียกร้องให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวตโดยไม่มีเงื่อนไข มติของคณะมนตรีความมั่นคงอันดับต่อมา คือ การประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแก่อิรักและคูเวต ยกเว้นอุปกรณ์ทางการแพทย์และอาหร เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่อิรักก็ไม่ได้ปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติ
          กลุ่มประเทศอาหรับด้วยกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
          อิยิปต์ ซีเรีย ซาอุดิอารเบีย เรียกร้องให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต สนับสนุนการเข้ามาของกองกำลังพันธมิตรและถือว่าตนปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติ จอร์แดน เยเมน ตูนีเซีย แอลจีเรีย และองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ กลุ่มนี้เรียกร้องให้ชาติอาหรับเจรจาหาทางแก้ปัญหากันเอง โดยไม่ต้องให้เป็นภาระขององค์การระดับโลก นอกจากนี้ยังมองว่าการปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติเท่ากับเป็นการรังแกชาวอาหรับด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสหรัฐอเมริกาดำเนินการต่างๆ เพื่อเรียกร้องนานาชาติกดดันให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต ภาพของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน กลายเป็นวีรบุรุษชาวอาหรับที่กล้าท้าทายโลกตะวันตก สาเหตุที่สหรัฐอเมริกามีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงนั้น เพราะอิรักทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง และแสนยานุภาพของอิรักอาจเป็นอันตรายต่ออิสราเอลพันธมิตรที่ดีของสหรัฐอเมริกาในอนาคตอีกด้วย

  Thaigoodview
 ผลของสงคราม
          เมื่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรประเทศต่างๆ ส่งกำลังเข้าไปในซาอุดิอารเบีย เพื่อป้องกันการรุกรานของอิรัก อิรักหันไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ซึ่งเป็นศัตรูของสหรัฐอเมริกาและเคยเป็นศัตรูของอิรักเองในสงครามอิรัก-อิหร่าน อิรัก-อิหร่านได้ทำการแลกตัวประกันจำนวน 70,000 คน และอิรักได้ถอนทหารของตนออกจากดินแดนของอิหร่าน ซึ่งอิรักยึดครองมาตั้งแต่สงครามอิรัก-อิหร่าน การกระทำของอิรักชี้ให้เห็นว่าอิรักต้องการให้สถานการณ์ด้านอิหร่านสงบ เพื่อไม่ต้องพะวงศึกสองด้าน
          กองกำลังนานาชาติเพิ่มจำนวนเข้าไปในซาอุดิอาระเบียมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่สองอภิมหาอำนาจมีความเห็นตรงกันในการแก้ปัญหาการรุกรานคูเวตของอิรัก ส่วนอิรักตอบโต้มติสหประชาชาติด้วยการเพิ่มกำลังเข้าไปในคูเวต อิรักมีศักยภาพทางทหารสูงกว่าประเทศอาหรับอื่นๆ คือ มีทหารประจำการถึง 1 ล้านคนและมีอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงแต่ต้นทุนการผลิตต่ำ อาวุธเหล่านี้อิรักได้รับความช่วยเหลือบ้างจากประเทศยุโรปตะวันตกในช่วงทำสงครามกับอิหร่าน
          สงครามอ่าวเปอร์เซียเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1991 ภายหลังจากประธานาธิบดีจอร์ช บุช แห่งสหรัฐอเมริกาสามารถดำเนินวิธการทางการฑูตให้สหประชาชาติลงมติให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวตโดยเด็ดขาดภายใน 15 มกราคม 1991 มิฉะนั้น กองกำลังพันธมิตรจะใช้มาตรการบังคับด้วยกำลังต่ออิรัก เมื่อครบกำหนดเส้นตาย สหรัฐอเมริกาเปิดฉากโจมตีทางอากาศนในอิรักและคูเวตด้วยยุทธการ พายุทะเลทราย กองกำลังพันธมิตรร่วมมือโจมตีอิรักอย่างต่อเนื่อง อิรักซึ่งอยู่ในฐานะเป็นรองพยายามดึงอิสราเอลเข้าร่วมสงคราม โดยยิงจรวดสกั๊ด (SCUD) โจมตีเมืองเทลอาวีปและเมืองท่าไฮฟา หากอิสราเอลหลงกลตอบโต้อิรัก อิรักก็จะได้ประเทศอาหรับที่เป็นศัตรูกับอิสราเองมาเสริมกำลัง แต่ความพยายามของประธานาธิบดีซัดดัมล้มเหลว เมื่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรสามารถยับยั้งมิให้อิสราเอลใช้กำลังตอบโต้สงครามดำเนินต่อไปด้วยความร่วมมือของฝ่ายพันธมิตร ปฏิบัติการพายุทะเลทราย ได้ดำเนินมาถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1991 หลังจากนั้นกองกำลังพันธมิตรได้เปิดฉากการโจมตีภาคพื้นดินต่ออิรัก ในระยะเวลาเพียง 100 ชั่วโมงกองกำลังพันธมิตรก็ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในการยึดคูเวตมาได้สำเร็จในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นั่นเอง หลังจากอิรักยึดครองคูเวตเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน
          ข้อควรพิจารณาจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย คือ บทบาทที่เด่นชัดของสหประชาชาติในการระงับกรณีพิพาททั้งวิธีการฑูตและกำลังทหาร รวมทั้งการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มาตรการต่างๆ เหล่านี้สหประชาติาจะเลือกใช้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม บทบาทของสหประชาชาติในสงครามอ่าวเปอร์เซียอยู่ภายใต้การชี้นำของสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจนด้วยเวทีทางการฑูตและการทหารแสดงให้เห็นว่า บทบาทผู้นำโลกของสหรัฐอเมริกาลดความศักดิ์สิทธิ์ลงในสถานการณ์การเมืองโลกปัจจุบัน ความร่วมมือระหว่างประเทศมหาอำนาจเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนั้น ยังแสดงให้เห็นความสำเร็จเป็นครั้งแรกที่สหประชาชาติสามารถออกมติเพื่อลงโทษประเทศสมาชิกที่ละเมิดกฏบัตรด้วยการรุกรานประเทศอื่น ทั้งนี้เป็นผลของการยุติการเผชิญหน้าของสองอภิมหาอำนาจและความจำเป็นของการร่วมมือของประเทศทั้งสอง
แม้สงครามอ่าวเปอร์เซียยุติตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1991 แล้วก็ตาม มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติได้บีบคั้นเศรษฐกิจของอิรักมากขึ้นกว่าเดิม ประชาชนอดอยากขาดแคลนอาหารและยารักษาโรคจนมีสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมและต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ในเดือน พฤศจิกายน 1991นั้น สหประชาชาติได้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษตรวจสอบอาวุธของอิรัก (unscom) เข้าไปตรวจสอบแหล่งผลิตและที่ซ่อนอาวุธเคมี อาวุธนิวเคลียร์ และอาวุธชีวภาพของอิรัก เพื่อให้อิรักทำลายล้างอาวุธเหล่านี้ หลังจากนั้นสหประชาชาติจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิรัก
          ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหประชาชาติกับอิรักได้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตั้งแต่อันสคอมถูกส่งเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในอิรักจนถึงปัจจุบัน อิรักจะขัดขวางการทำงานของอันสคอมอยู่เสมอๆ เช่นกัน นอกจากนี้ในเดือนสิงหาคม 1992 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งเขตห้ามบินทางตอนใต้ของอิรักและขยายมายังตอนเหนือเพิ่มขึ้นในเดือนกันยายน 1996 ภายหลังสหรัฐอเมริกาได้โจมตีทางตอนใต้องอิรักอีก เพื่อเป็นการตอบโต้อิรักปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ดอย่างรุนแรง

Military

          เมื่อ ค.ศ.1997 อิรักได้ขับไล่ชาวอเมริกันออกจากทีมงานอันสคอมโดยกล่าวหาว่า ชาวอเมริกาคนหนึ่งเป็นสายลับ ซึ่งสหรัฐอเมริกาปฏิบัติคำกล่าวหานี้ การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและอันสคอม กับอิรักได้ตึงเครียดมาตามลำดับ ค.ศ.1998 เมื่ออิรักขัดขวางเจ้าหน้าที่อันสคอม (ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ รวมทั้งไทย) ไม่ให้เข้าไปตรวจสอบอาวุบริเวณทำเนียบประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน นายโคฟี อันนาม เลขาธิการสหประชาชาติเดินทางไปเจรจากับประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน เพื่อยุติการเผชิญหน้าระหว่างอิรักกับสหรัฐอเมริกา อิรักยินยอมให้อันสคอมตรวจสอบอาวุธบริเวณทำเนียบประธานาธิบดี อันสคอมร้องเรียนสหประชาชาติว่าอิรักไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร และยังขัดขวางการปฏิบัติงานของอันสคอมอีกด้วย
          การเผชิญหน้าระหว่างอิรักและสหรัฐอเมริกาทวีความรุนแรงมากขึ้น ในเดือนธันวาคม 1998 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเตือนอิรักว่า อาจจะมีการโจมตีอิรักได้ทุกเวลาหากอิรักยังคงขัดขวางการปฏิบัติงานของอันสคอม
          16 ธันวาคม 1998 เจ้าหน้าที่ของอันสคอมต้องเดินทางออกจากอิรักเพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากอิรัก และเช้าตรู่ของวันรุ่นขึ้น ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้ส่งกำลังทหารไปยังอ่าวเปอร์เซียร่วมกับกองกำลังทหารอังกฤษเพื่อยิงถล่มอิรักภายใต้ปฏิบัติการชื่อ ปฏิบัติการจิ้งจอกทะเลทรายเป็นเวลา 4 วัน จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส รวมทั้งบรรดาชาติอาหรับอื่นๆ ต่างประณามการกระทำของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยุติการโจมตีอิรัก ส่วนสมาชิกนาโต ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ต่างสนับสนุนมาตรการแข็งกร้าวของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
           ปัญหาอิรักคือปัญหาที่ท้าทายบทบาทของสหประชาชาติ ในเวลาเดียวกันก็เป็นปัญหาภาพลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาที่ชี้นำและดำเนินการโดยพลการในนามสหประชาชาติ ถือเป็นการละเมิดกฏบัตรสหประชาชาติและหลักการของประชาคมโลก นายโคฟี อันนาม กล่าวแสดงความรู้สึกของเขาว่า วันนี้เป็นวันที่น่าเศร้าของยูเอ็นและชาวโลก ผมได้ทำทุกสิ่งเท่าที่มีอำนาจหน้าที่สร้างความสงบตามปณิธานของยูเอ็น เพื่อระวังการใช้กำลัง สิ่งนี้ไม่ใช่ของง่าย เป็นกระบวนการเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด

ที่มา : http://jiab007.wordpress.com   สงครามอ่าวเปอร์เซีย
          http://www.thaigoodview.com/ ปัญหาตะวันออกกลาง

สงครามกลางเมืองซีเรีย

สงครามกลางเมืองซีเรีย คร่าชีวิตผู้คนไปนับแสน 

           เมื่อในวันที่ 21 สิงหาคม 2556 รัฐบาลซีเรีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ได้สั่งการให้กองทัพทิ้งระเบิดเพื่อปราบกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล ในเมืองกัวตาห์ ชานกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,300 ราย ท่ามกลางคำกล่าวอ้างของกลุ่มพันธมิตรซีเรียที่ระบุว่า รัฐบาลใช้อาวุธเคมี รวมทั้งแก๊สพิษซารินในการสู้รบกับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน แม้ภายหลังทางการซีเรียจะออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่ทางสหประชาชาติก็เตรียมจะขอเข้าไปพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว
            การสู้รบระหว่างรัฐบาล และฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ยืดเยื้อมานานกว่า 29 เดือนแล้ว และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ (23 สิงหาคม 2556) ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการมีอย่างน้อย 1 แสนคน และมีชาวซีเรียขอลี้ภัยเกือบ ๆ 2 ล้านคน 
            อะไรที่ทำให้สงครามซีเรียรุนแรงมากขนาดนี้ แล้วชนวนเหตุของสงครามกลางเมืองซีเรียแท้จริงแล้วเกิดจากอะไร ลองตามกระปุกดอทคอมไปย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกัน 
            ในช่วงปลายปี 2553 เรื่อยมาจนถึงปี 2554 ประชาชนในหลายประเทศของกลุ่มตะวันออกกลาง และทวีปแอฟริกาเหนือ ได้ลุกฮือประท้วงรัฐบาลของตัวเอง เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีก้าวลงจากตำแหน่ง หลังจากผูกขาดอำนาจมานานหลายทศวรรษ ไล่เรียงมาตั้งแต่ ตูนีเซีย อียิปต์ ลิเบีย เยเมน บาห์เรน ฯลฯ ระบาดไปทั่วภูมิภาคจนมีการเรียกขานปรากฏการณ์นี้ว่า "อาหรับสปริง" หรือการปฏิวัติในประเทศอาหรับ และในที่สุดปรากฏการณ์นี้ก็ขยายวงกว้างมาถึงประเทศซีเรีย เมื่อในวันที่ 15 มีนาคม 2554 กลุ่มประชาชนชาวซีเรียนับหมื่นที่ไม่พอใจรัฐบาลพรรคบะอัษ (Ba'ath) ของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ได้ประท้วงเดินขบวนเรียกร้องให้พรรคบะอัษยุติการปกครองประเทศและประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ต้องลาออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าคนในตระกูลอัล อัสซาด ผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในตำแหน่งประธานาธิบดีมานานกว่า 4 ทศวรรษ คือตั้งแต่ปี 2514 พันเอกฮาเฟซ อัล-อัสซาด ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจปกครองประเทศ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ลูกชายคือประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
             เมื่อสถานการณ์การประท้วงทำท่าจะลุกลาม และบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ในเดือนเมษายน 2554 รัฐบาลก็ได้สั่งการให้กองกำลังความมั่นคงเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุมในหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากหลักสิบพุ่งเป็นหลักร้อย หลักพัน ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ จนองค์การสหประชาชาติ (UN) ต้องออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลซีเรียยุติการใช้ความรุนแรงกับประชาชน เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย ไม่ต่างจากสันนิบาตอาหรับที่สั่งระงับสมาชิกภาพของซีเรีย ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็พยายามกดดันซีเรียเช่นกัน ด้วยการอายัดทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้นำซีเรีย และแกนนำระดับสูงของรัฐบาลซีเรีย 6 คน พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้นำซีเรียสละอำนาจโดยเร็ว  
             อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า รัฐบาลซีเรียจะไม่ได้สนใจต่อเสียงเรียกร้องจากนานาชาติเท่าใดนัก ยังคงเปิดฉากกวาดล้างผู้ชุมนุมอีกหลายครั้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศรัสเซีย และอิหร่าน ขณะที่ประเทศจีนคอยให้ความช่วยเหลือทางการทูต ทำให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ปรากฏตัวผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ย้ำความมั่นใจว่ารัฐบาลของตัวเองจะไม่ถูกโค่นล้มอย่างแน่นอน
             ขณะที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ตอนแรกเป็นเพียงการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ แต่เมื่อถูกปราบปรามอย่างหนัก ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาจับอาวุธ โดยความร่วมมือกันระหว่างทหารที่แปรพักตร์ อาสาสมัคร และพลเรือนส่วนหนึ่ง หลังจากได้รับการสนับสนุนอาวุธจากประเทศตุรกี และซาอุดีอาระเบีย โดยมีประเทศฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี กาตาร์ ให้ความช่วยเหลือทางการทูต
SHAAM NEWS NETWORK / AFP
             การสู้รบยิ่งระอุขึ้นเรื่อย ๆ ในปลายปี 2554 เมื่อกลุ่มต่อต้านก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในกรุงดามัสกัส เมืองหลวง และเมืองอะเลปโป เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ขณะเดียวกันก็สะสมกองกำลังติดอาวุธมากขึ้น ทำให้รัฐบาลซีเรียต้องหันไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย "ฮิซบอลเลาะห์" ที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศเลบานอน ให้เข้ามาร่วมปฏิบัติการปราบกบฏกับกองทัพซีเรียด้วย โดยลั่นวาจาว่าปฏิบัติการจะดำเนินไปจนกว่าฝ่ายกบฏจะย่อยยับ
             เมื่อกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก้าวเข้ามาร่วมในสงคราม ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์สงครามกลางเมืองเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ทางฝ่ายกบฏได้ลอบคาร์บอมบ์ ระเบิดที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก็เดินหน้าถล่มฝ่ายกบฏ พร้อมกับยึดเมืองคืน ขณะเดียวกันที่เป็นปริศนาก็คือ มีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เรียกกันว่า "ชาบีฮา" ซึ่งเป็นกองกำลังชุดดำติดอาวุธได้ทำการสังหารหมู่ประชาชนซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กัน
 เหตุการณ์ลุกลามมาเรื่อย จนถึงในช่วงต้นปี 2556 องค์การระหว่างประเทศได้ออกมาประณามรัฐบาลซีเรียอย่างกว้างขวาง หลังจากได้จับกุมผู้ประท้วงหลายหมื่นคนไปทรมานอย่างหนักในเรือนจำของรัฐ รวมทั้งประณามฝ่ายต่อต้านที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 สหประชาชาติประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามซีเรียที่กินเวลามาเกือบ 2 ปี สูงกว่า 70,000 คน ราวครึ่งหนึ่งเป็นพลเรือน ผู้สูญหายอีกหลายหมื่นคน ขณะที่มีประชาชนชาวซีเรียกว่า 1.4 ล้านคน ขอลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
             ฝั่งนานาชาติก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์นี้ หลายประเทศในกลุ่มอาหรับประกาศปิดสถานทูตในซีเรีย เพื่อประท้วงรัฐบาลที่สังหารประชาชน ขณะที่องค์การที่เกี่ยวข้องก็ประชุมออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้สงครามครั้งเลวร้ายยุติลง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด คำว่า "สันติภาพ" ในประเทศซีเรีย ก็ยิ่งไกลห่างออกไปทุกที การสู้รบยังคงเกิดขึ้นอย่างดุเดือดและต่อเนื่อง แต่ละวันจะมีผู้คนล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน



SAID KHATIB / AFP
            ในปี 2556 ดูเหมือนว่าสงครามจะไม่ได้เป็นเรื่องของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย และฝ่ายต่อต้านแต่เพียงเท่านั้น เมื่อฝ่ายต่อต้านได้ลักพาตัวเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติ จำนวน 21 นาย เพื่อกดดันให้รัฐบาลถอนกำลัง อีกด้านหนึ่งทางกองทัพอิสราเอลก็ตัดสินใจยิงจรวดโจมตีคลังอาวุธของกองทัพซีเรียหลายครั้ง เพื่อหวังจะทำลายขีปนาวุธพิสัยไกลที่อิสราเอลอ้างว่าประเทศอิหร่านส่งมาช่วยซีเรียใช้ต่อสู้กับฝ่ายกบฏ และจะส่งต่อให้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในชายแดนเลบานอน
             เมื่อประเทศอิสราเอลเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ ก็ทำให้กลุ่มประเทศสันนิบาตชาติอาหรับอดวิตกกังวลไม่ได้ว่า สถานการณ์จะยิ่งบานปลายขนาดไหน และก็เป็นดังคาด เมื่อกองทัพซีเรียขู่จะเปิดศึกอีกด้านกับอิสราเอล โดยประกาศกร้าวจะตอบโต้อิสราเอลที่ยิงจรวดโจมตีคลังแสงซีเรีย จนทำให้ทหารเสียชีวิต 42 นาย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทางรัฐบาลอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา กลับมองว่า การที่อิสราเอลส่งจรวดเข้าทำลายอาวุธของกองทัพซีเรีย ถือเป็นสิทธิของอิสราเอลที่จะปกป้องประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามของกลุ่มติดอาวุธตามแนวชายแดน
             ขณะที่สงครามกลางเมืองในซีเรียก็ยังดำเนินต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าจะสงบลง กระทั่งปรากฏเป็นข่าวช็อกโลกในวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2556 เมื่อกองทัพซีเรียทิ้งระเบิดปราบกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลในเมืองกัวตาห์ ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,300 คน ในจำนวนนี้มีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา โดยภาพของศพนับพันที่นอนกันเรียงรายกลายเป็นภาพโศกนาฏกรรมอันน่าหดหู่ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก 
              
SHAAM NEWS NETWORK / AFP

             จากเหตุการณ์นี้ ทำให้กลุ่มแนวร่วมแห่งชาติซีเรียและนักเคลื่อนไหวออกมาประณามรัฐบาลที่โจมตีประชาชนด้วยอาวุธเคมี และแก๊สพิษซาริน ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ทางการได้รีบออกมาปฏิเสธโดยทันที ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนก็เชื่อว่าอาจจะเป็นฝีมือของมือที่สามเข้ามาแทรกแซงก็เป็นได้  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สหประชาชาติ และนานาชาติ ต่างพากันเรียกร้องให้รัฐบาลซีเรียอนุญาตให้คณะผู้ตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีของสหประชาชาติเข้าถึงพยาน และเหยื่อได้อย่างอิสระ โดยไม่มีการแทรกแซงหรือปั้นแต่งหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด



ที่มา :สงครามซีเรีย...ย้อนปมความขัดแย้งสู่สมรภูมิเลือด โดย กระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก : AFP

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

สงครามเวียดนาม


           สงครามเวียดนาม เป็นข้อพิพาททางทหารยุคสงครามเย็นในประเทศเวียดนาม ลาวและกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 กระทั่งกรุงไซ่ง่อนแตกเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 สงครามเวียดนามนี้เกิดขึ้นหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง และมีเวียดนามเหนือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรคอมมิวนิสต์เป็นคู่สงครามฝ่ายหนึ่ง กับรัฐบาลเวียดนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อื่น ๆ เป็นคู่สงครามอีกฝ่ายหนึ่ง เวียดกง (หรือ แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ) เป็นแนวร่วมประชาชนคอมมิวนิสต์เวียดนามใต้ที่ติดอาวุธเบาซึ่งได้รับการสั่งการจากเวียดนามเหนือ สู้รบในสงครามกองโจรต่อกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่ กองทัพประชาชนเวียดนาม (กองทัพเวียดนามเหนือ) ต่อสู้ในสงครามตามแบบมากกว่า และบางครั้งส่งหน่วยขนาดใหญ่เข้าสู่ยุทธการ กำลังสหรัฐอเมริกาและเวียดนามใต้อาศัยความได้เปรียบทางอากาศและอำนาจการยิงที่เหนือกว่าเพื่อดำเนินปฏิบัติการค้นหาและทำลาย ซึ่งรวมถึงกำลังภาคพื้นดิน ปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศ
          รัฐบาลสหรัฐมองว่าการเข้ามามีส่วนในสงครามเป็นหนทางป้องกันการยึดเวียดนามใต้ของคอมมิวนิสต์อันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา (containment) ที่ใหญ่กว่า รัฐบาลเวียดนามเหนือและเวียดกงมองข้อพิพาทนี้เป็นสงครามอาณานิคม ซึ่งเริ่มต้นสู้กับฝรั่งเศส โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ แล้วต่อมาสู้กับเวียดนามใต้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดของสหรัฐ ที่ปรึกษาทางทหารชาวอเมริกันมาถึงอินโดจีนขณะนั้นเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2493 การเข้ามามีส่วนของสหรัฐเพิ่มขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยมีระดับทหารเพิ่มเป็นสามเท่าใน พ.ศ. 2494 และเพิ่มอีกสามเท่าในปีต่อมา หน่วยรบของสหรัฐถูกจัดวางเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ปฏิบัติการเกิดขึ้นข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ โดยลาวและกัมพูชาถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก การเข้ามามีส่วนในสงครามของสหรัฐถึงขีดสุดใน พ.ศ. 2511 ขณะเดียวกับการรุกตรุษญวน หลังจากนี้ กำลังภาคพื้นดินของสหรัฐค่อย ๆ ถูกถอนออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่เรียกว่า การแผลงเป็นเวียดนาม (Vietnamization) แม้จะมีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีสโดยภาคีทุกฝ่ายเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2516 แล้ว แต่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป
          การมีส่วนร่วมทางทหารของสหรัฐยุติลงเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2516 อันเป็นผลมาจากคำแปรญัตติเคสเชิร์ช (Case–Church Amendment) ที่ผ่านโดยรัฐสภาสหรัฐ การยึดกรุงไซ่ง่อนโดยกองทัพประชาชนเวียดนามในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 เป็นจุดสิ้นสุดของสงคราม และมีการรวมชาติเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ในปีต่อมา สงครามนี้คร่าชีวิตมนุษย์ไปมหาศาล ประเมินตัวเลขทหารและพลเรือนชาวเวียดนามที่ถูกสังหารมีตั้งแต่น้อยกว่า 1 ล้านคนเล็กน้อย ไปถึงกว่า 3 ล้านคน ชาวกัมพูชาเสียชีวิตราว 2-3 แสนคน ชาวลาวเสียชีวิต 20,000-200,000 คน และทหารชาวอเมริกันเสียชีวิตในข้อพิพาทนี้ 58,220 นาย
          
กำเนิดขบวนการใต้ดิน
          ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นำ ระยะแรกการดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ครั้งในปี ค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา
          แต่กำลังการรบของเวียดมินห์นั้นยังเป็นกองกำลังเล็กๆ ยังไม่สามารถที่จะไปต่อต้านพวกญี่ปุ่นได้ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช ได้เริ่มดำเนินการทันที ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิแห่งเวียดนาม" และต่อมาทำให้กลุ่มของสมเด็จพระจักรพรรดิเบาได๋ มีความหวังยิ่งขึ้น คือ นายพลเดอโกลล์ ได้กล่าวคลุมเครือว่าอยากให้เวียดนามปกครองตนเอง ซึ่งทำให้พวกชาตินิยมในเวียดนามต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธียิ่งขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทำลายความหวังลงไป เพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น แต่คำสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝง ไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่ง โดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก ประกาศเอกราชในเวียดนาม ซึ่งการที่กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ จักรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น แล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งนี้ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้อีก ต่างชาติเข้าแทรกแซง ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่ แต่โอกาสยังไม่อำนวยเพราะขาดกำลังทหารและพาหนะลำเลียง แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม เพราะมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทำของอังกฤษ นายพลเกรซี่ย์ ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง สำหรับฝรั่งเศสมีทหารจำนวนเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อนแล้ว ไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่

ขบวนการผู้รักชาติ
          โฮจิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบ พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส ซึ่งกระทำได้ก็โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน ดำเนินการอย่างลับๆต่อมาเป็นเวลานาน

ข้อตกลงระหว่างจีนคณะชาติกับฝรั่งเศส
          ภาคเหนือของเวียดนาม เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่ ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์ และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ค ยอมยกเลิกสิทธพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของเวียดนาม โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจีน จึงต้องยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะขณะนี้ โฮจิมินห์ ยังไม่พร้อมที่จะรบหรือต่อต้านกับชาติใดๆทั้งสิ้น
พยายามแสวงหาสันติภาพ
         ฝรั่งเศสและเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยสันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็น ประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมา กล่าวคือ การประชุมเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้น เพราะการประชุมส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึงเสรีภาพเลย ฝรั่งเศสมุ่งที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย
          ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ฝ่ายเวียดมินห์เห็นว่า การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผล ดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกำลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1946

ปัญหาระหว่างฝรั่งเศส - เวียดนาม
          เอกราชของเวียดมินห์ที่ชาวเวียดนามแสวงหา กลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองที่สำคัญที่สุด และเป็นผลทำให้ชาวเวียดนามที่มีหัวปานกลางที่สังกัดกลุ่มชาตินิยม ซึ่งในระยะแรกคิดจะปรองดองกับฝรั่งเศส โดยจะยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสแบบใดแบบหนึ่ง แล้วต้องสัญญาให้เอกราชที่สมบูรณ์ในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสไม่สนใจ จึ่งทำให้พวกชาตินิยมกลุ่มนี้พยายามจัดตั้ง แนวสหภาพชาตินิยม เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1947 และได้กลายเป็นพลังการต่อต้านที่สำคัญในเวลาต่อมา
          ด้วยเหตุดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นที่เกลียดชังของพวกชาตินิยมชาวเวียดนาม แม้แต่พวกไม่เคยต่อต้านฝรั่งเศสและนักการเมืองก็ต้องให้ความร่วมมือกับพวกปฏิวัติ หรือหนีไปนอกประเทศ ต่อมาในภายหลังฝรั่งเศสได้เสนอต่อเวียดนาม ให้มีเสรีภาพในวงกรอบแห่งสหภาพฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ให้ความแน่ชัดในทางปฏิบัติ จึงเป็นเหตุให้พวกเวียดมินห์ที่ไม่พอใจฝรั่งเศส ทำการกวาดล้างชาวเวียดนามด้วยกันเองที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวของฝรั่งเศส
          ปี ค.ศ. 1948 โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนด้วยการเชิญเบาไต๋ ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล แต่ก็ไม่เกิดผลดีแก่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด เพราะฝ่ายชาตินิยมหมดความไว้วางใจในฝรั่งเศสเสียแล้ว นอกจากนี้พวกคอมมิวนิสต์เวียดมินห์ ได้ควบคุมความเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมโดยสิ้นเชิง และเบาไต๋ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน
          การมองข้ามความสำคัญของพลังความรู้สึกทางชาตินิยมของชาวเวียดนาม และการไม่แสวงหาสันติภาพด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความผิดพลาดขั้นแรกของฝรั่งเศส ตลอดจนไม่นึกถึงความสำคัญของความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้ข้าศึกสามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
          สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์ เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับเวียดนามมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการทหาร เศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย

สารคดี : เวียดนามสงครามหมื่นวัน 1/2


สารคดี : เวียดนามสงครามหมื่นวัน 2/2



ที่มา : Cr.NoHumanNoCry  http://www.youtube.com/watch?v=_P-6ztLQNVQ
                                            http://www.youtube.com/watch?v=hO6JNLjxmXg
        : ภาพข่าวสดและวิกิพีเดีย http://variety.teenee.com/world/33408.html

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

สงครามเกาหลี

    
          สงครามเกาหลี (Korean War) เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น ซึ่งเริ่มต้นสู้รบกันเต็มรูปแบบในพื้นที่คาบสมุทรเกาหลีในวันที่ ๒๕ มิ.ย.๑๙๕๐ จนกระทั่งมีการทำสัญญาสงบศึกกันใน ๒๗ ก.ค.๑๙๕๓ มี ผลลัพธ์ให้เกิดการจัดตั้งเขตปลอดทหาร ดินแดนถูกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามเส้นขนานที่ ๓๘ กำลังรบของสหประชาชาติประกอบด้วยทหารจาก สาธารณะรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม คานาดา โคลัมเบีย เอธิโอเปีย ฝรั่งเศส กรีก ลัมเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ ไทย เตอร์กี 
สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา และ เดนมาร์กได้เข้าร่วมโดยส่งเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ไปช่วยเหลือ กำลังรบของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ประกอบด้วย สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี สาธารณะรัฐประชาชนจีน และ สหภาพโซเวียต ในการมองในมุมแคบๆ สงครามเกาหลีเป็นการยกระดับสงครามกลางเมืองเกาหลีที่ทำ การต่อสู้กันระหว่างสองระบอบที่มีมหาอำนาจให้การสนับสนุนจากภายนอก ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามโดยผ่านกรรมวิธีทางการเมืองและยุทธวิธีกองโจร หลังจากที่มีการเลือกตั้งอิสระในเกาหลีใต้ในช่วงเดือน พ.ค.๑๙๕๐ และเกาหลีใต้ได้ปฏิเสธความต้องการทางการเมืองของเกาหลีเหนือ กองทัพเกาหลีเหนือได้เคลื่อนพลเข้าโจมตี เกาหลีใต้ใน วันที่ ๒๕ มิ.ย.๑๙๕๐ เพื่อพยายามที่จะรวมชาติเกาหลีซึ่งถูกแบ่งแยกอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ปี ค.ศ.๑๙๔๘ แต่ถ้ามองในมุมที่กว้างขึ้นมาอีกก็จะพบว่าความขัดแย้งได้ถูกขยายให้รุนแรงขึ้นโดยการเข้ามาแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามที่ยิ่งใหญ่กว่าสงครามเกาหลีนั่นคือสงครามเย็น สงครามดำเนินไปตั้งแต่ ๒๕ มิ.ย.๑๙๕๐ จนมีการลงนามในสัญญาหยุดยิงกันใน ๒๗ ก.ค.๑๙๕๓
          ในเกาหลี สงครามครั้งนี้ถูกเรียกว่า “สงคราม 6.25” ตามวันที่ที่เกิดสงครามมากกว่าที่จะเรียกอย่างเป็นทางการว่า Hanguk Jeonjaeng ซึ่งหมายถึง “สงครามเกาหลี” ในเกาหลีเหนือ ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สงครามปลดกู้ชาติแผ่นดินพ่อ (Fatherland Liberation War)” ในสหรัฐฯเรียกชื่อแบบการเมืองว่า ”ความขัดแย้งเกาหลี (Korean Conflict)” มากกว่าที่จะเรียกว่า "สงคราม" เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่จะต้องประกาศสงครามโดยรัฐสภา สงครามนี้บางครั้งถูก

สารคดี สงครามเกาหลี



ที่มา : น.อ.ประยุทธ เปี่ยมสุวรรณ์