ภูมิหลัง
คูเวต
เป็นประเทศในกลุ่มอาหรับขนาดเล็ก ตั้งอยู่ตอนบนของอ่าวเปอร์เซีย
ทางเหนือและตะวันตกติดกับอิรัก ทางตะวันออกติดกับอ่าวเปอร์เซีย
ทางใต้ติดกับซาอุดิอาระเบีย มีการค้นพบน้ำมันปิโตรเลียมในคูเวต เมื่อ ค.ศ 1930 ในปริมาณมาก ซึ่งประมาณว่า มีปริมาณร้อยละ 20
ของปริมาณน้ำมันทั้งโลก นับตั้งแต่ ค.ศ.1946 คูเวตเป็นประเทศผู้นำผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกและส่งน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก
คูเวตเคยเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษระหว่างค.ศ 1914-1961 เมื่อคูเวตได้รับเอกราชในวันที่
19 มิถุนายน 1961 รัฐบาลอิรักอ้างสิทธิว่าคูเวตเป็นส่วนหนึ่งของตนตามหลักเชื้อชาติ
ภูมิศาสตร์ และสังคม แต่สันนิบาตอาหรับรับรองเอกราชของคูเวต
ภายหลังสงครามอิรัก-อิหร่านซึ่งกินเวลาถึง 8 ปี ส่งผลให้อิรักบอบช้ำมากจากภาระบูรณะประเทศ อิรักต้องเป็นหนี้ต่างประเทศจำนวนประมาณ 80,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา ทำให้ฐานะเศรษฐกิจของอิรักทรุดหนัก อิรักมีสินค้าออกหลักคือน้ำมัน ซึ่งมีปริมาณร้อยละ 99 ของมูลค่าสินค้าออกทั้งหมด อิรักจึงพยายามผลักดันให้องค์การโอเปกกำหนดโควตาการผลิตน้ำมันและกำหนดราคาน้ำมันเสียใหม่ให้อิรักมีรายได้เพิ่มขึ้น อิรักอ้างว่าการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง เพราะคูเวตและสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ลอบผลิตและขายน้ำมันเกินโควตา นอกจากนี้อิรักยังกล่าวหาว่าระหว่างอิรักทำสงครามกับอิหร่านเป็นเวลา 8 ปี คูเวตได้ขยายพรมแพนล่วงล้ำเข้ามาทางใต้ของอิรัก4 กิโลเมตร เพื่อตั้งค่ายทหารและตั้งสถานีขุดเจาะน้ำมันเป็นการขโมยน้ำมันของอิรัก ยิ่งไปกว่านั้น อิรักทำสงครามกับอิหร่านในนามชาติอาหรับและเพื่อความมั่นคงของชาติอาหรับทั้งมวล จึงสมควรที่คูเวตต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ข้อเรียกร้องที่รุนแรงของอิรัก คือให้คูเวตคืนดินแดนที่รุกล้ำเข้ามา คือ เขต Rumailah oilfield ซึ่งมีน้ำมันอุดมสมบูรณ์และขอเช่าเกาะบูมิยัน กับเกาะวาร์บาห์ ในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อให้อิรักขายน้ำมันผ่านอ่าวเปอร์เซียโดยตรง โดยมิต้องขายน้ำมันทางท่อส่งน้ำมันผ่านซาอุดิอารเบียและตุรกีเช่นเดิม
สาเหตุ
กล่าวโดยสรุป
เหตุผลที่อิรักบุกคูเวตอย่างสายฟ้าแลบในเดือนสิงหาคม 1990 มีดังนี้
แรงกดดันจากหนี้สงครามอิรัก-อิหร่าน
อิรักจึงต้องการคุมแหล่งน้ำมันของโลกคือ คูเวต
เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการผลิตน้ำมันและการกำหนดราคาน้ำมัน อิรักไม่มีทางออกทะเลหรือทางอ่าวเปอร์เซีย
เพราะมีเกาะบูมิยันและเกาะวาห์บาห์ของคูเวตขวางทางอยู่
อิรักจึงมิอาจขายน้ำมันโดยตรงแก่เรือผู้ซื้อได้
ทั้งอิรักยังตกลงกับอิหร่านเรื่องการใช้เมืองท่าบัสราผ่านร่องน้ำซัตต์-อัล-อาหรับ
ไม่ได้ อิรักและคูเวตมีกรณีพิพาทดินแดน Rumailah Oilfield แหล่งน้ำมันที่สำคัญมาเป็นเวลานานและหาข้อยุติไม่ได้
อิรักจึงถือโอกาสยึดครองคูเวตด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์
ปฏิกริยาของประเทศต่างๆ
ปฏิกริยาของประเทศต่างๆ
ที่มีต่อการยึดครองคูเวตของอิรักแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ
สหประชาชาติ ชาติอภิมหาอำนาจ
รวมถึงกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เห็นตรงกันที่ต้องรักษาดุลอำนาจในตะวันออกลาง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติเป็นเอกฉันท์ประณามการรุกรานและเรียกร้องให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวตโดยไม่มีเงื่อนไข
มติของคณะมนตรีความมั่นคงอันดับต่อมา คือ
การประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแก่อิรักและคูเวต ยกเว้นอุปกรณ์ทางการแพทย์และอาหร
เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่อิรักก็ไม่ได้ปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติ
กลุ่มประเทศอาหรับด้วยกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
กลุ่มประเทศอาหรับด้วยกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
อิยิปต์ ซีเรีย ซาอุดิอารเบีย
เรียกร้องให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต
สนับสนุนการเข้ามาของกองกำลังพันธมิตรและถือว่าตนปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติ จอร์แดน เยเมน ตูนีเซีย แอลจีเรีย
และองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์
กลุ่มนี้เรียกร้องให้ชาติอาหรับเจรจาหาทางแก้ปัญหากันเอง
โดยไม่ต้องให้เป็นภาระขององค์การระดับโลก
นอกจากนี้ยังมองว่าการปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติเท่ากับเป็นการรังแกชาวอาหรับด้วยกันเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสหรัฐอเมริกาดำเนินการต่างๆ
เพื่อเรียกร้องนานาชาติกดดันให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต ภาพของประธานาธิบดีซัดดัม
ฮุสเซน กลายเป็นวีรบุรุษชาวอาหรับที่กล้าท้าทายโลกตะวันตก
สาเหตุที่สหรัฐอเมริกามีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงนั้น
เพราะอิรักทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง
และแสนยานุภาพของอิรักอาจเป็นอันตรายต่ออิสราเอลพันธมิตรที่ดีของสหรัฐอเมริกาในอนาคตอีกด้วย
Thaigoodview
ผลของสงคราม
เมื่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรประเทศต่างๆ
ส่งกำลังเข้าไปในซาอุดิอารเบีย เพื่อป้องกันการรุกรานของอิรัก
อิรักหันไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ซึ่งเป็นศัตรูของสหรัฐอเมริกาและเคยเป็นศัตรูของอิรักเองในสงครามอิรัก-อิหร่าน
อิรัก-อิหร่านได้ทำการแลกตัวประกันจำนวน 70,000 คน และอิรักได้ถอนทหารของตนออกจากดินแดนของอิหร่าน
ซึ่งอิรักยึดครองมาตั้งแต่สงครามอิรัก-อิหร่าน
การกระทำของอิรักชี้ให้เห็นว่าอิรักต้องการให้สถานการณ์ด้านอิหร่านสงบ
เพื่อไม่ต้องพะวงศึกสองด้าน
กองกำลังนานาชาติเพิ่มจำนวนเข้าไปในซาอุดิอาระเบียมากขึ้น
เป็นครั้งแรกที่สองอภิมหาอำนาจมีความเห็นตรงกันในการแก้ปัญหาการรุกรานคูเวตของอิรัก
ส่วนอิรักตอบโต้มติสหประชาชาติด้วยการเพิ่มกำลังเข้าไปในคูเวต อิรักมีศักยภาพทางทหารสูงกว่าประเทศอาหรับอื่นๆ
คือ มีทหารประจำการถึง 1 ล้านคนและมีอาวุธเคมี
อาวุธชีวภาพ ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงแต่ต้นทุนการผลิตต่ำ
อาวุธเหล่านี้อิรักได้รับความช่วยเหลือบ้างจากประเทศยุโรปตะวันตกในช่วงทำสงครามกับอิหร่าน
สงครามอ่าวเปอร์เซียเริ่มขึ้นเมื่อวันที่
17 มกราคม 1991 ภายหลังจากประธานาธิบดีจอร์ช
บุช
แห่งสหรัฐอเมริกาสามารถดำเนินวิธการทางการฑูตให้สหประชาชาติลงมติให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวตโดยเด็ดขาดภายใน
15 มกราคม 1991 มิฉะนั้น
กองกำลังพันธมิตรจะใช้มาตรการบังคับด้วยกำลังต่ออิรัก เมื่อครบกำหนดเส้นตาย
สหรัฐอเมริกาเปิดฉากโจมตีทางอากาศนในอิรักและคูเวตด้วยยุทธการ พายุทะเลทราย
กองกำลังพันธมิตรร่วมมือโจมตีอิรักอย่างต่อเนื่อง
อิรักซึ่งอยู่ในฐานะเป็นรองพยายามดึงอิสราเอลเข้าร่วมสงคราม โดยยิงจรวดสกั๊ด (SCUD)
โจมตีเมืองเทลอาวีปและเมืองท่าไฮฟา หากอิสราเอลหลงกลตอบโต้อิรัก
อิรักก็จะได้ประเทศอาหรับที่เป็นศัตรูกับอิสราเองมาเสริมกำลัง
แต่ความพยายามของประธานาธิบดีซัดดัมล้มเหลว
เมื่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรสามารถยับยั้งมิให้อิสราเอลใช้กำลังตอบโต้สงครามดำเนินต่อไปด้วยความร่วมมือของฝ่ายพันธมิตร
ปฏิบัติการพายุทะเลทราย ได้ดำเนินมาถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1991
หลังจากนั้นกองกำลังพันธมิตรได้เปิดฉากการโจมตีภาคพื้นดินต่ออิรัก
ในระยะเวลาเพียง 100 ชั่วโมงกองกำลังพันธมิตรก็ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในการยึดคูเวตมาได้สำเร็จในวันที่
26 กุมภาพันธ์ นั่นเอง หลังจากอิรักยึดครองคูเวตเป็นเวลานานกว่า
6 เดือน
ข้อควรพิจารณาจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย
คือ บทบาทที่เด่นชัดของสหประชาชาติในการระงับกรณีพิพาททั้งวิธีการฑูตและกำลังทหาร
รวมทั้งการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มาตรการต่างๆ
เหล่านี้สหประชาติาจะเลือกใช้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม
บทบาทของสหประชาชาติในสงครามอ่าวเปอร์เซียอยู่ภายใต้การชี้นำของสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจนด้วยเวทีทางการฑูตและการทหารแสดงให้เห็นว่า
บทบาทผู้นำโลกของสหรัฐอเมริกาลดความศักดิ์สิทธิ์ลงในสถานการณ์การเมืองโลกปัจจุบัน
ความร่วมมือระหว่างประเทศมหาอำนาจเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนั้น
ยังแสดงให้เห็นความสำเร็จเป็นครั้งแรกที่สหประชาชาติสามารถออกมติเพื่อลงโทษประเทศสมาชิกที่ละเมิดกฏบัตรด้วยการรุกรานประเทศอื่น
ทั้งนี้เป็นผลของการยุติการเผชิญหน้าของสองอภิมหาอำนาจและความจำเป็นของการร่วมมือของประเทศทั้งสอง
แม้สงครามอ่าวเปอร์เซียยุติตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
1991 แล้วก็ตาม
มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติได้บีบคั้นเศรษฐกิจของอิรักมากขึ้นกว่าเดิม
ประชาชนอดอยากขาดแคลนอาหารและยารักษาโรคจนมีสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมและต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ในเดือน พฤศจิกายน 1991นั้น สหประชาชาติได้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษตรวจสอบอาวุธของอิรัก
(unscom) เข้าไปตรวจสอบแหล่งผลิตและที่ซ่อนอาวุธเคมี
อาวุธนิวเคลียร์ และอาวุธชีวภาพของอิรัก เพื่อให้อิรักทำลายล้างอาวุธเหล่านี้
หลังจากนั้นสหประชาชาติจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิรัก
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหประชาชาติกับอิรักได้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ
ตั้งแต่อันสคอมถูกส่งเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในอิรักจนถึงปัจจุบัน
อิรักจะขัดขวางการทำงานของอันสคอมอยู่เสมอๆ เช่นกัน นอกจากนี้ในเดือนสิงหาคม 1992 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งเขตห้ามบินทางตอนใต้ของอิรักและขยายมายังตอนเหนือเพิ่มขึ้นในเดือนกันยายน
1996 ภายหลังสหรัฐอเมริกาได้โจมตีทางตอนใต้องอิรักอีก
เพื่อเป็นการตอบโต้อิรักปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ดอย่างรุนแรง
Military
เมื่อ ค.ศ.1997 อิรักได้ขับไล่ชาวอเมริกันออกจากทีมงานอันสคอมโดยกล่าวหาว่า
ชาวอเมริกาคนหนึ่งเป็นสายลับ ซึ่งสหรัฐอเมริกาปฏิบัติคำกล่าวหานี้
การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและอันสคอม กับอิรักได้ตึงเครียดมาตามลำดับ ค.ศ.1998
เมื่ออิรักขัดขวางเจ้าหน้าที่อันสคอม
(ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ รวมทั้งไทย)
ไม่ให้เข้าไปตรวจสอบอาวุบริเวณทำเนียบประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน นายโคฟี อันนาม
เลขาธิการสหประชาชาติเดินทางไปเจรจากับประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน
เพื่อยุติการเผชิญหน้าระหว่างอิรักกับสหรัฐอเมริกา
อิรักยินยอมให้อันสคอมตรวจสอบอาวุธบริเวณทำเนียบประธานาธิบดี
อันสคอมร้องเรียนสหประชาชาติว่าอิรักไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร และยังขัดขวางการปฏิบัติงานของอันสคอมอีกด้วย
การเผชิญหน้าระหว่างอิรักและสหรัฐอเมริกาทวีความรุนแรงมากขึ้น
ในเดือนธันวาคม 1998 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเตือนอิรักว่า
อาจจะมีการโจมตีอิรักได้ทุกเวลาหากอิรักยังคงขัดขวางการปฏิบัติงานของอันสคอม
16 ธันวาคม 1998
เจ้าหน้าที่ของอันสคอมต้องเดินทางออกจากอิรักเพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากอิรัก
และเช้าตรู่ของวันรุ่นขึ้น ประธานาธิบดี บิล คลินตัน
ได้ส่งกำลังทหารไปยังอ่าวเปอร์เซียร่วมกับกองกำลังทหารอังกฤษเพื่อยิงถล่มอิรักภายใต้ปฏิบัติการชื่อ
“ปฏิบัติการจิ้งจอกทะเลทราย” เป็นเวลา 4
วัน จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส รวมทั้งบรรดาชาติอาหรับอื่นๆ
ต่างประณามการกระทำของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยุติการโจมตีอิรัก ส่วนสมาชิกนาโต ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ ต่างสนับสนุนมาตรการแข็งกร้าวของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
ปัญหาอิรักคือปัญหาที่ท้าทายบทบาทของสหประชาชาติ
ในเวลาเดียวกันก็เป็นปัญหาภาพลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาที่ชี้นำและดำเนินการโดยพลการในนามสหประชาชาติ
ถือเป็นการละเมิดกฏบัตรสหประชาชาติและหลักการของประชาคมโลก นายโคฟี อันนาม
กล่าวแสดงความรู้สึกของเขาว่า “วันนี้เป็นวันที่น่าเศร้าของยูเอ็นและชาวโลก
ผมได้ทำทุกสิ่งเท่าที่มีอำนาจหน้าที่สร้างความสงบตามปณิธานของยูเอ็น
เพื่อระวังการใช้กำลัง สิ่งนี้ไม่ใช่ของง่าย เป็นกระบวนการเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด”
ที่มา : http://jiab007.wordpress.com สงครามอ่าวเปอร์เซีย
http://www.thaigoodview.com/ ปัญหาตะวันออกกลาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น